- อย่าไปอินPosted 3 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 22 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
นั่งร้านพรรคเก่า
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
กระแสข่าวชิงพรรคประชาธิปัตย์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ที่ต้องกลับมาพูดถึงอีกครั้งหลังเงียบไปพักใหญ่เป็นเพราะเสียงในพรรคเริ่มแตกเป็น 2 ส่วนชัดเจนมากขึ้น กลุ่มที่อยากเปลี่ยนแปลงมองความจริงที่ว่าพรรคไม่อาจชนะเลือกตั้งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ จะไปร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ได้ จึงไม่ควรปิดโอกาสในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับอีกขั้วการเมืองหนึ่ง ถึงจะเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยแต่เมื่อรวมเสียงกันแล้วก็มากพอสำหรับการต่อรองจัดตั้งรัฐบาล มองมุมบวกหากหัวหน้าพรรคยังชื่อ “อภิสิทธิ์” จะเป็นอุปสรรคสำหรับแนวทางการเมืองแบบยืดหยุ่น แต่หากมองในมุมลบก็เหมือนที่บางคนพูดออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการเอาพรรคไปเป็นนั่งร้านส่งใครบางคนเถลิงอำนาจนั่งเก้าอี้นายกฯหลังเลือกตั้ง
การกระทำสำคัญกว่าคำพูด
ประโยคนี้ใช้ได้ดีกับสถานการณ์การเมืองที่กำลังดำเนินไปของบ้านเรา
สิ่งแรกที่ประชาชนมองเห็นกันอย่างชัดเจนคือ การปล่อยให้กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม พรรคการเมืองบางพรรค หาเสียงล่วงหน้าเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นที่ติดล็อกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
กลุ่มการเมืองบางกลุ่มไปขึ้นรถแห่พบประชาชน ผู้มีอำนาจ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่แตะ อ้างว่าไม่ผิดเพราะเป็นการเคลื่อนไหวในนามกลุ่มการเมืองไม่ใช่พรรคการเมือง คำพูดที่ผู้มีอำนาจบางคนย้อนถามว่าเขาอยู่พรรคไหนสวนทางกับคำพูดที่ว่าเป็นกลางและดูแลเท่าเทียมอย่างชัดเจน
คำพูดที่ว่าออกไปพบประชาชนเพื่อสอบถามปัญหาเอามาหาแนวทางแก้ไข ก็ยังมีข้อสงสัยว่าไม่ใช่การลงพื้นที่หาเสียงล่วงหน้าได้อย่างไร
พรรคการเมืองบางพรรคจัดกิจกรรมด้วยการเล่นคำว่าเปิดโรงเรียนการเมือง ผู้มีอำนาจ ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ย้อนถามคนที่ตั้งคำถามว่าทำไมทำได้ด้วยประโยคที่ว่าถ้าไม่เป็นการหาเสียงก็ทำได้
น่าสนใจว่าถ้าพรรคการเมืองอื่นๆจะทำกิจกรรมแบบเดียวกันนี้สามารถทำได้หรือไม่
การกระทำอีกอย่างที่น่าสนใจอย่างยิ่งในตอนนี้คือ ความพยายามเปลี่ยนแปลงตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และแกนนำพรรคบางส่วนยืนยันในหลักการว่าจะสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง
นี่ไม่ใช่ความพยายามครั้งแรก
ก่อนหน้านี้มีข่าวหนาหูว่ามีอดีตแกนนำพรรคบางคนที่ลาออกจากพรรคไปเคลื่อนไหวทางการเมืองต้องการกลับมายึดพรรคให้อยู่ในปกครอง แต่มีแนวโน้มไม่สำเร็จจึงต้องออกไปสร้างบ้านหลังใหม่เป็นของตัวเอง จนทำให้ข่าวความพยายามเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เงียบหายไปพักใหญ่
เมื่อประเมินสถานการณ์ในสนามเลือกตั้งแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้จำนวน ส.ส. ตามเป้าหมาย แผนเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จึงถูกงัดขึ้นมาใช้อีกครั้งหนึ่ง
นี่ไม่ใช่เรื่องมโนคิดไปเอง เพราะก่อนที่จะมีคนในพรรคประชาธิปัตย์ออกมาพูดเรื่องนี้อย่างชัดเจน ก็มีคนนอกพรรคที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเตือนล่วงหน้าก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาแยกย่อยลงไปภายในพรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้ดูเหมือนว่าแนวคิดจะแตกออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะกู้ภาพลักษณ์ความเป็นพรรคการเมืองที่สนับสนุนและยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย หลังจากเสียศูนย์ไปพักใหญ่จากการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ด้วยการประกาศจุดยืนไม่สนับสนุนนายกฯคนนอกแม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ทำได้
อีกกลุ่มเห็นว่าเป็นแนวทางการเมืองที่ตึงเกินไป อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ ทั้งนี้เพราะชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่อาจชนะเลือกตั้งมีเสียงมากพอที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ จะไปร่วมมือกับพรรคตรงข้ามอย่างพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่ได้ จึงไม่ควรปิดโอกาสตัวเองในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับอีกขั้วการเมืองหนึ่งที่ถึงจะเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยแต่เมื่อรวมเสียงกันแล้วก็มีมากพอสำหรับการต่อรองจัดตั้งรัฐบาล
มองมุมบวกคือการมีนายอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคเป็นอุปสรรคสำหรับแนวทางการเมืองแบบยืดหยุ่น
แต่หากมองในมุมลบก็เหมือนที่บางคนพูดออกมาอย่างชัดเจนว่าต้องการเอาพรรคไปเป็นนั่งร้านส่งใครบางคนเถลิงอำนาจนั่งเก้าอี้นายกฯหลังเลือกตั้ง
You must be logged in to post a comment Login