วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

มารีย์ผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลก

On September 19, 2018

 

คอลัมน์ สันติธรร “มารีย์ผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลก”

โดย บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข  21-28 กันยายน 2561)

 

ครั้งหนึ่งนบีมุฮัมมัดเคยกล่าวไว้ว่า “ผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกในยุคของเธอคือนางมัรฺยัม (หรือนางมารีย์ มารดาของพระเยซู)”

พระเยซูถือกำเนิดก่อนนบีมุฮัมมัดประมาณ 600 ปี เรื่องราวของนางมารีย์กับพระเยซูมีกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลด้วยภาษาฮิบรู แต่ท่านนบีมุฮัมมัดรู้เรื่องราวของบุคคลทั้งสองนี้ได้อย่างไรในเมื่อนบีมุฮัมมัดไม่รู้หนังสือ อย่าว่าแต่ภาษาฮิบรูเลย แม้แต่ภาษาอาหรับท่านก็อ่านไม่ออก

คำตอบคือท่านรู้จากการเปิดเผย (วิวรณ์) หรือการบอกให้รู้จากพระเจ้า และการเปิดเผยนี้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์กุรอาน

?????????????????????????????????????????????????????????????????????????????????

การเปิดเผยเรื่องราวการกำเนิดของพระเยซูหรือนบีอีซามีขึ้นเมื่อนบีมุฮัมมัดอพยพจากมักก๊ะฮฺไปยังเมืองยัษริบ ซึ่งที่นั่นมีพวกลูกหลานอิสราเอลตั้งถิ่นฐานอยู่ก่อนแล้ว แต่คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่ายิว

นอกจากชาวยิวแล้ว แผ่นดินอาหรับในเวลานั้นยังมีชุมชนคริสเตียนอาศัยอยู่ทางตอนใต้ด้วย ทั้ง 3 กลุ่มชนนี้มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีลูก ชาวยิวเชื่อว่าเอษราเป็นบุตรของพระเจ้า ชาวคริสเตียนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า ส่วนชาวอาหรับเชื่อว่ามลาอิก๊ะฮฺเป็นลูกสาวของพระเจ้า

ในคัมภีร์กุรอานชาวยิวเชื่อว่าพวกเขาฆ่าพระเยซู ดังนั้น ชาวยิวจึงเชื่อว่าพระเยซูตายแล้ว ส่วนชาวคริสเตียนในเวลานั้นมีความสับสนในเรื่องการเกิดและการตายของพระเยซู อันเนื่องมาจากความเชื่อในเรื่องตรีเอกานุภาพที่เกิดขึ้นหลังสมัยพระเยซู

ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ประทานเรื่องราวของนางมารีย์และพระเยซูไว้ในคัมภีร์กุรอาน เพื่อที่นบีมุฮัมมัดจะได้นำไปอ่านทำความเข้าใจให้แก่คนทั้งสองกลุ่ม

คัมภีร์กุรอานเล่าว่า แม่ของนางมารีย์เป็นหญิงในครอบครัวที่เคร่งครัดศาสนา และเป็นญาติกับเศคาริยาห์ (ซะกะรียา) นางบนบานต่อพระเจ้าว่าหากนางมีลูก นางจะอุทิศลูกของนางให้แก่วิหารแห่งเยรูซาเล็ม เพื่อทำหน้าที่เป็นนักบวชรับใช้ศาสนาของพระเจ้า

เมื่อนางคลอดบุตรออกมาเป็นผู้หญิงชื่อมารีย์ นางรู้สึกผิดหวัง เพราะผู้หญิงไม่สามารถเป็นนักบวชได้ แต่เมื่อบนบานไว้แล้วว่าจะอุทิศลูกให้แก่พระเจ้า นางจึงพาทารกหญิงไปปรึกษานักบวชประจำวิหาร และคณะนักบวชได้รับนางไว้โดยกั้นห้องเล็กๆข้างวิหารให้เธออยู่เป็นการเฉพาะ และได้มอบให้เศคาริยาห์ผู้เป็นลุงทำหน้าที่ดูแล

เมื่อมารีย์โตเป็นสาว พระเจ้าต้องการที่จะแสดงเดชานุภาพของพระองค์ให้พวกลูกหลานอิสราเอลได้เห็นอีกครั้งหนึ่งโดยอาศัยเธอ เพราะก่อนหน้านี้พวกลูกหลานอิสราเอลได้ทรยศต่อพระเจ้ามาตลอดนับตั้งแต่สมัยของโมเสส วันหนึ่งพระเจ้าได้ส่งทูตสวรรค์มาบอกเธอว่าเธอจะมีบุตรคนหนึ่งชื่ออีซา เธอตกใจมากและได้กล่าวว่า “ฉันจะมีลูกได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยมีชายใดมาแตะต้อง” แต่ทูตสวรรค์กล่าวว่า “ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถ้าพระเจ้าประสงค์จะให้อะไรเกิดขึ้น สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นตามประสงค์ของพระเจ้า”

หลังจากนั้นไม่นานมารีย์ได้ตั้งครรภ์โดยที่ไม่มีชายใดแตะต้องนาง ด้วยความอับอายนางจึงหนีออกจากห้องพักของนางไปคลอดลูกชื่ออีซา (หรือเยซัส) ใต้ต้นอินทผลัมต้นหนึ่ง ในฐานะที่เป็นหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ เธอรู้สึกอับอายต่อการคลอดลูกโดยที่ไม่มีชายใดมาแตะต้อง และเธอต้องเจ็บปวดเมื่อถูกนักบวชประณามหยามเหยียดเธอต่างๆนานา แต่พระเจ้าได้สั่งเธอว่าไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น ใครอยากรู้ความจริงให้ไปถามทารกในเปลดู เมื่อได้ยินเช่นนั้นบางคนจึงหาว่านางเสียสติ แต่แล้วทุกคนต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงของเด็กน้อยจากเปลดังนี้

“ฉันเป็นบ่าวของอัลลอฮฺ พระองค์ทรงประทานคัมภีร์แก่ฉัน และทรงแต่งตั้งฉันให้เป็นนบี พระองค์ได้ทรงทำให้ฉันเป็นที่ได้รับความจำเริญไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ใด พระองค์ทรงสั่งฉันให้นมาซและจ่ายซะกาตตราบใดที่ฉันยังมีชีวิต และได้ทรงให้ฉันรับใช้แม่ของฉัน และมิได้ทรงทำให้ฉันเป็นผู้ก้าวร้าวและจิตใจแข็งกระด้าง สันติได้มีแก่ฉันในวันที่ฉันเกิด และสันติจะมีแก่ฉันในวันที่ฉันตายและวันที่ฉันถูกทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง” (คัมภีร์กุรอาน 19:30-33)

ความเจ็บปวดทั้งกายและใจของนางมารีย์ในการเป็นสื่อแสดงปาฏิหาริย์ของพระเจ้าโดยการให้กำเนิดอันมหัศจรรย์แก่เยซัส ผู้นำศาสนาของพระเจ้ามายังโลกนี้ คือสิ่งที่ทำให้ท่านนบีมุฮัมมัดยกย่องว่าเธอเป็นสตรีที่ดีที่สุดในยุคของเธอ     

 


You must be logged in to post a comment Login