วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ทิ้งหมัดเข้ามุม

On September 21, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่โพสต์ข้อความในโอกาสครบรอบ 12 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แทบจะทำให้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่นหมดความหมายตั้งแต่ยังไม่ปลดล็อกทางการเมือง ไม่ต้องชี้หน้าด่าใคร แค่ชี้ให้เห็นการเสียโอกาสในการพัฒนา การย่ำอยู่กับที่ การถดถอย ก็ทำให้ประชาชนเกิดการเปรียบเทียบกับความเปลี่ยนแปลงและการเกิดสิ่งใหม่ในช่วงพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ แน่นอนว่าจะทำให้ประชาชนนึกถึงพรรคที่ ดร.ทักษิณให้การสนับสนุนในวันที่ต้องกาบัตรเลือกตั้ง ไม่ต้องพูดหาเสียงแต่ได้เสียงไปเต็มๆ เหมือนทิ้งหมัดน็อกใส่คางคู่ต่อสู้ให้ล้มกลางเวทีแล้วเดินหันหลังกลับเข้ามุมก่อนได้รับการชูมือ

ในขณะที่การเมืองกำลังมีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก

หลายคนจับจ้องไปที่อนาคตทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่าจะเลือกทางเดินบนถนนการเมืองอย่างไร มาแบบมีชื่ออยู่ในบัญชีหรือมาแบบถูกเชิญ

หลายคนจับจ้องไปที่การแย่งชิงเก้าอี้ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไม่ว่าจะได้คนเก่านำทัพต่อหรือเปลี่ยนเป็นแม่ทัพคนใหม่ย่อมมีผลต่อการเมืองโดยรวม ไม่ใช่แต่เฉพาะพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

หลายคนจับจ้องไปที่พรรคเพื่อไทยว่าจะได้ใครมาเป็นหัวหน้าพรรคนำทีมสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง และลุ้นด้วยว่าหลังได้ตัวผู้นำคนใหม่แล้วพรรคจะแตกหรือไม่ จะมีกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดน้อยใจพากันออกไปสร้างบ้านหลังใหม่หรือไปร่วมงานกับพรรคการเมืองอื่นหรือไม่

หลายคนจับจ้องไปที่ความชัดเจนของกลุ่มสามมิตรว่าที่สุดแล้วจะเข้าไปเทคโอเวอร์พรรคการเมืองใด และที่เดินสายทาบทามกันไว้ก่อนหน้านี้มีใครบ้างที่ตัดสินใจทิ้งบ้านหลังเก่ามาร่วมชายคาบ้านหลังใหม่กับกลุ่มสามมิตร

ท่ามกลางความเคลื่อนไหวต่างๆเหล่านี้กลับมีความเคลื่อนไหวหนึ่งที่แทบจะทำให้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองอื่นๆที่กล่าวมาไม่มีความหมาย ไร้ความสำคัญ

ความเคลื่อนไหวที่ว่าคือ การโพสต์ข้อความในโอกาสครบรอบ 12 ปีการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

“วันนี้ผมอยากให้ทุกท่านลองวางใจให้เป็นกลาง แล้วหลับตานึกว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ ท่านคิดว่าประเทศไทยเจริญขึ้นแล้วหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา ระบบราชการ บริการประชาชน ยาเสพติด การสาธารณสุข กระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจของท่านเอง รวมถึงความสุขของท่านและคนรอบตัวท่าน สุดท้ายคือศักดิ์ศรีประเทศและความภูมิใจของท่าน”

เพียงแค่ประโยคนี้ทำให้ประชาชนหวนนึกทบทวนว่าช่วงระยะเวลา 12 ปี ชีวิตตัวเอง ชีวิตคนรอบข้าง และสังคมโดยรวมมีอะไรดีขึ้นหรือไม่

หากวางใจให้เป็นกลางอย่างที่ ดร.ทักษิณบอก เชื่อว่าคำตอบส่วนใหญ่ที่ได้คือ ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น แถมบ้านเมืองยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งอันเกิดจากการใช้วาทกรรมเพื่อทำลายล้างกัน การใช้ Hate Speech เพื่อสร้างความเกลียดชัง จนแบ่งประชาชนออกเป็น 2-3 ฝ่าย

“ในขณะที่โลกเขากำลังเอาสมองไปคิดค้นสิ่งใหม่ นำความเจริญให้ประเทศเขา แต่เรากำลังล้าหลังในทุกๆด้าน ถ้าเราเปิดใจกว้าง ไม่เป็นกบน้อยในกะลา เราจะรู้ว่าเราต้องปรับปรุงและพัฒนาอีกเยอะ เทคโนโลยีที่ทั้งโลกกำลังใช้ประโยชน์มันกำลังจะไล่ล่าประเทศที่ปรับตัวไม่ทันและไม่คิดปรับตัว”

ถ้อยคำในประโยคนี้ช่วยตอกย้ำให้เห็นภาพการสูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศแทบทุกด้าน แถมหลายเรื่องนอกจากไม่พัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าแล้วยังแย่ลงจนประชาชนรู้สึกและสัมผัสได้

สิ่งที่ ดร.ทักษิณพูดในโอกาสครบรอบ 12 ปีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และประเทศยังอยู่ในการปกครองของคณะรัฐประหารชุดปัจจุบันน่าจะสะกิดต่อมคิดของประชาชนกลุ่มใหญ่ได้เป็นอย่างดี

ไม่ต้องชี้หน้าด่าใคร ไม่ต้องโทษใคร ไม่ต้องให้ร้ายใคร เพียงแค่ชี้ให้เห็นการเสียโอกาสในการพัฒนา ชี้ให้เห็นถึงการย่ำอยู่กับที่ ชี้ให้เห็นถึงการถดถอย ก็ทำให้ประชาชนเกิดการเปรียบเทียบกับความเปลี่ยนแปลงและการเกิดสิ่งใหม่ในช่วงที่พรรคไทยรักไทยบริหารประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ประชาชนนึกถึงพรรคที่ ดร.ทักษิณให้การสนับสนุนในวันที่ต้องกาบัตรเลือกตั้ง

ไม่ต้องพูดหาเสียงแต่ได้เสียงไปเต็มๆ เหมือนทิ้งหมัดน็อกใส่คางคู่ต่อสู้ให้ล้มกลางเวทีแล้วเดินหันหลังกลับเข้ามุมก่อนได้รับการชูมือ


You must be logged in to post a comment Login