- อย่าไปอินPosted 4 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 23 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
เมื่อวิทยาศาสตร์มีบทบาทสนับสนุนศาสนา
คอลัมน์ สันติธรรม “เมื่อวิทยาศาสตร์มีบทบาทสนับสนุนศาสนา”
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้ัสุข 28 กันยายน-5 ตุลาคม 2561)
ความขัดแย้งกันระหว่างสถาบันนักบวชรุ่นเก่ากับนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในยุคกลางได้ก่อให้เกิดการแยกตัวของคริสตจักร และส่งผลให้เกิดยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการที่เป็นฐานรากของความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการในปัจจุบัน
ความขัดแย้งในคริสตจักรเกิดขึ้นเพราะนักบวชรุ่นเก่ามีความเชื่อในสิ่งที่ไม่มีอยู่ในคัมภีร์ศาสนา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นเห็นว่าเป็นสิ่งที่ขัดกับความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ แต่เนื่องจากสถาบันนักบวชในเวลานั้นมีอำนาจ นักวิทยาศาสตร์หลายคนจึงถูกลงโทษด้วยศาลศาสนา ซึ่งทำให้บาทหลวงบางคนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่พอใจ และประกาศแยกตัวออกจากคริสตจักร ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรอีกต่อไป
นับแต่นั้นมากลุ่มชาติตะวันตกที่ฉีกตัวออกจากคริสตจักรได้ประสบความสำเร็จในการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมายหลายอย่างจนทำให้เกิดยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการขึ้นมา
ความอยากรู้ในสรรพสิ่งและการค้นพบความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่ตอบโจทย์ความอยากรู้ทำให้โลกมีความเจริญทางวัตถุจนคนยุคใหม่มีความเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ไม่ต่างอะไรไปจากความเชื่อในศาสนาของคนยุคเก่า และนับถือนักวิทยาศาสตร์เหมือนศาสดา แต่ขณะเดียวกันความอยากรู้และการค้นพบบางอย่างก็ขัดกับความเชื่อทางศาสนาของคนยุคเก่า หนึ่งในนั้นคือเรื่องต้นกำเนิดของมนุษย์
เมื่อประมาณ 200 ปีที่แล้ว ชาร์ลส์ ดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะคนหนึ่งของโลก ต้องการจะศึกษาค้นคว้าหาที่มาของมนุษย์ ซึ่งในคัมภีร์ศาสนาคริสต์กล่าวไว้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้าง แต่อาจเป็นเพราะเขาไม่เชื่อในพระเจ้า หรือคิดว่ามนุษย์เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ดังนั้น ที่มาของมนุษย์ต้องอยู่ในโลกนี้
เขาเดินทางไกลและใช้เวลายาวนานในการค้นหาที่มาของมนุษย์ ในที่สุดเขาได้กลับมาเขียนหนังสือเรื่อง The Origin of Man (ต้นกำเนิดของมนุษย์) โดยอธิบายว่ามนุษย์เกิดขึ้นจากการรวมตัวของเซลล์ที่มีชีวิต และค่อยๆวิวัฒนาการไปตามกาลเวลานับหลายล้านปีจนกระทั่งกลายมาเป็นลิงและเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบในปัจจุบัน
ทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาถูกนำไปสอนในสถาบันการศึกษาทุกระดับทั่วโลก และมีผู้ทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกสนับสนุนทฤษฎีของเขาหลายร้อยฉบับ อีกทั้งมีความพยายามหาวัตถุหลักฐานมายืนยันทฤษฎีของเขา หนึ่งในนั้นคือ การค้นพบโครงกระดูกมนุษย์พิลท์ดาวน์ที่ประเทศอังกฤษ แต่ต่อมาถูกเปิดโปงว่าเป็นหลักฐานเท็จ ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน จึงสั่นคลอนมาตั้งแต่นั้น อย่างไรก็ตาม บางคนก็ยังเชื่อในทฤษฎีของเขา
เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าขึ้นจนถึงขั้นมีการค้นพบดีเอ็นเอหรือสารพันธุกรรมที่ไม่เหมือนกันในตัวของมนุษย์แต่ละคน ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ดีเอ็นเอของมนุษย์จะเหมือนกับของลิง การค้นพบความจริงด้วยเทคโนโลยีชีวภาพนี้เองที่ทำให้ทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ครั้งหนึ่งเคยท้าทายความเชื่อทางศาสนาหมดความน่าเชื่อถือ
การค้นพบทางวิทยาศาสตร์อีกอย่างหนึ่งที่ท้าทายทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาก็คือ การค้นพบว่าครั้งหนึ่งโลกเคยเป็นกลุ่มก๊าซที่ถูกควบแน่นจนเป็นของเหลวร้อนที่มีอุณหภูมิหลายพันองศา หลังจากนั้นจึงค่อยๆเย็นตัวลงจนกลายเป็นแผ่นเปลือกโลกที่ลอยอยู่บนหินละลายในขณะนี้ การค้นพบดังกล่าวทำให้ได้ข้อสรุปว่าด้วยอุณหภูมิร้อนขนาดหินละลายเช่นนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตใดๆก่อตัวขึ้นเป็นสารตั้งต้นสิ่งมีชีวิตและวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์
แต่กว่าจะรู้ความจริงผ่านทางวิทยาศาสตร์ โลกก็เสียหายไปมากมายจากการที่มีคนนำทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาที่ว่า “ผู้แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่อยู่รอด” ไปสนับสนุนการรุกรานชาติต่างๆ และการทำธุรกิจแบบปลาเล็กกินปลาใหญ่จนมนุษย์ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อนกันทั่วโลกในขณะนี้
You must be logged in to post a comment Login