วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เปลี่ยนทางเดินทัพ

On October 4, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

อะไรที่เคยคุยกันไว้ อะไรที่เคยตกลงกันไว้ มาถึงตอนนี้ชักไม่เหมือนเดิม เมื่อหนึ่งในรัฐมนตรีที่ถูกส่งมาบัญชาการในพรรคพลังประชารัฐยอมรับถึงความเป็นไปได้ที่จะเป็นแม่สายบัวแต่งตัวเก้อเมื่อกลุ่มสามมิตรอาจไม่มาร่วมหอลงโรงเดียวกัน ส่วนกระแสที่ว่ากลุ่มสามมิตรจะแยกตัวไปสร้างบ้านหลังใหม่นั้น เมื่อดูตามเงื่อนเวลาที่เหลืออยู่อาจเสี่ยงเกินไป ถ้าไม่ใช้วิธีเทคโอเวอร์พรรคใหม่โนเนมที่ตั้งไว้ขายหัว แต่ถ้าแกนนำจะเปลี่ยนเส้นทางเดินทัพไปร่วมกับพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว พรรคที่น่าจับตามองคือพรรคภูมิใจไทย เพราะเป็นพรรคที่มีจุดยืนเหมือนกันคือร่วมงานได้กับทุกฝ่าย ที่สำคัญพรรคภูมิใจไทยยังมีเสบียงกรังพร้อมสนับสนุนไพร่พลในการทำศึกเลือกตั้งอย่างเต็มที่อีกด้วย

ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้บรรดา 4 รัฐมนตรีในรัฐบาลทหาร คสช. ลาออกจากตำแหน่งหลังโดดเข้าทำงานการเมืองเต็มตัวในพรรคพลังประชารัฐ เพื่อป้องกันการได้เปรียบเสียเปรียบหรือเอาเปรียบคู่แข่งจากพรรคการเมืองอื่นๆ

ท่ามกลางเสียงยืนยันหนักแน่นแข็งขันทั้งของระดับมันสมองทางกฎหมายรัฐบาลทหาร คสช. ทั้งของแกนนำรัฐบาลทหาร คสช. ตลอดจนถึงผู้นำรัฐบาลทหาร คสช. ว่าไม่มีความจำเป็นต้องลาออกเพราะกฎหมายไม่ได้ห้าม

ขณะที่ 4 รัฐมนตรี “ติดบ่วง” เรื่องสปิริตทางการเมือง แต่ 2 บิ๊กกองทัพที่เพิ่งเกษียณอายุราชการไปเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมาคือ พล.อ.อ.จอม รุ่งสว่าง อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ และ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท อดีตผู้บัญชาการทหารบก ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2561 รวมทั้งลาออกจากตำแหน่งต่างๆที่มีอยู่ เพราะได้รับแต่งตั้งเป็นองคมนตรีพร้อมกับนายอำพน กิตติอำพน

อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศและอดีตผู้บัญชาการทหารบกจึงหลุดพ้นจากแรงเหวี่ยงทางการเมือง ไม่ต้องมาเล่นเกมอำนาจเหมือน “บิ๊กตู่” และ 4 รัฐมนตรีที่เกาะเก้าอี้ “ติดบ่วง” เรื่องสปิริตทางการเมือง ถูกถล่มต่อไป

หากถามว่าผิดไหม ตอบได้เลยว่าไม่ผิด

แต่หากถามว่าสมควรหรือไม่ ตอบแทนไม่ได้ เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องคิดเอาเอง

อย่างไรก็ตาม หลังโดดลงสู่สนามการเมืองเต็มตัว ดูเหมือนว่าเส้นทางเดินของ 4 รัฐมนตรีจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ปัญหาแรกที่ต้องเร่งเคลียร์ให้จบก่อนที่จะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งคือ การเคลียร์ใจกับแกนนำกลุ่มสามมิตรให้ได้ข้อสรุปว่าจะลงเรือลำเดียวกันหรือไม่ หรือจะแยกตัวไปสร้างดาวคนละดวง

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะว่าที่เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวล่าสุดถึงความชัดเจนในการร่วมงานกับกลุ่มสามมิตรว่า “ยังไม่รู้เลยครับ

เมื่อถูกถามต่อว่ากลุ่มสามมิตรยังยืนยันที่จะร่วมมือหรือไม่ คำตอบที่ได้คือ “เขาจะตั้งพรรคหรือเปล่า”

เมื่อถามอีกว่ากลุ่มสามมิตรจะไม่มาร่วมพรรคพลังประชารัฐแล้วหรือไม่ คำตอบจากปากนายสนธิรัตน์คือ “สื่อน่าจะรู้กันหมดแล้ว”

สรุปประเด็นจากคำตอบของว่าที่เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐคือ มีความเป็นไปได้สูงที่กลุ่มสามมิตรจะล้มดีลเดิมแยกไปสร้างบ้านหลังใหม่เป็นของตัวเอง แม้ก่อนหน้านี้จะประกาศชัดเจนว่าจะไม่ตั้งพรรคการเมือง โดยจะไปร่วมงานกับพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม หากดูตามเงื่อนเวลาที่เหลืออยู่ การยื่นจดตั้งพรรคการเมืองในตอนนี้อาจจะหมิ่นเหม่ไม่ทันกาล เพราะการตั้งพรรคการเมืองใหม่ที่มีความพร้อมส่งผู้สมัคร ส.ส. จะต้องทำทุกขั้นตอนให้เสร็จสิ้นก่อนสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

เท่ากับว่ากลุ่มสามมิตรมีเวลาสร้างบ้านหลังใหม่ไม่ถึง 60 วัน ซึ่งถือว่าฉุกละหุกมาก และมีความเสี่ยงที่จะดำเนินการได้ไม่ครบถ้วนตามเงื่อนไขหยุมหยิมหลายข้อที่กฎหมายพรรคการเมืองฉบับใหม่กำหนด

ถ้าคิดจะตั้งพรรคจะต้องไปยื่นจดแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภายในสัปดาห์นี้หรืออย่างช้าไม่เกินสัปดาห์หน้า

แต่ถ้าจะเปลี่ยนเส้นทางเดินทัพไปร่วมกับพรรคการเมืองที่มีอยู่แล้ว ถ้าไม่ลัดขั้นตอนไปเทคโอเวอร์พรรคใหม่โนเนม พรรคที่น่าจับตามองมากที่สุดคือพรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล เพราะเป็นพรรคที่น่าจะมีแนวทางไปด้วยกันได้ โดยเฉพาะจุดยืนการเมืองที่ร่วมงานได้กับทุกฝ่าย

ที่สำคัญพรรคภูมิใจไทยยังมีเสบียงกรังพร้อมสนับสนุนไพร่พลในการทำศึกเลือกตั้งอย่างเต็มที่อีกด้วย


You must be logged in to post a comment Login