- อย่าไปอินPosted 3 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 21 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ธปท.จะอยู่ข้างนายทุนที่ดิน-นายธนาคาร หรือประชาชน?
คอลัมน์ โลกอสังหาฯ
ธปท.จะอยู่ข้างนายทุนที่ดิน-นายธนาคาร หรือประชาชน?
โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้วันสุข 19-26 ตุลาคม 2561)
เมื่อบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561 ผมได้รับเชิญจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ไปแสดงความเห็นต่อแนวนโยบาย Macroprudential สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย มีนักพัฒนาที่ดิน นายธนาคารใหญ่น้อย ไปแสดงความเห็นกันมากมาย ถ้าเราเห็นแก่ประโยชน์ประชาชนจริงๆ ธปท. สมควรมีนโยบายอย่างไร
ตอนผมฟังอยู่พบว่า
1.นักพัฒนาที่ดินบางคนอ้างผลประโยชน์ที่ผู้ซื้อบ้านจะได้รับ ทั้งที่พูดเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง กลัวคนไม่ซื้อ จะไม่ได้ขายดีและได้กำไรสุทธิขั้นต่ำ 20% ซึ่งหาธุรกิจไหนจะได้กำไรงามเช่นนี้ไม่ได้แล้ว ธุรกิจอื่นมีแต่จะเจ๊งกับเจ๊งในวันนี้ บ้างก็บอกให้ชะลอมาตรการนี้ออกไป บ้างก็บอกให้ปรับใช้เฉพาะผู้กู้บ้านหลังที่สาม แทนที่จะเป็นหลังที่สอง (ดีไม่บอกให้ไปหลังที่สี่ไปเลย!)
2.นายธนาคารก็ปกป้องประโยชน์ในการได้ดอกเบี้ยของตน อยากให้กู้สูงๆ แม้ราคาบ้านจะเป็นเงิน 1 ล้าน ก็อาจให้กู้ถึง 1.15 ล้าน หรือเกินราคาบ้านจริงไป 15% ก็มี พอลูกค้าสู้ไม่ไหวก็ยืดระยะเวลาออกไปให้ผ่อนยาวๆ ทำให้มีความมั่นคงด้านการได้ดอกเบี้ยมากขึ้น แต่เป็นผลต่อเงินผ่อนชำระไม่มากนัก
3.ศูนย์ข้อมูลของธนาคารบางแห่งอ้างว่ากลัวลูกค้าจะไม่มีกำลังซื้อบ้านหากต้องดาวน์บ้านถึง 20% เขาคงพูดเพื่อประโยชน์ของธนาคารของตนเอง หรือไม่ก็ประโยชน์ของพวกนักพัฒนาที่ดินที่นั่งสลอนเป็นกรรมการ
4.สื่อต่างๆมักลงแต่ความเห็นของพวกผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ ทำให้ประชาชนไม่ได้รับรู้อะไรที่เป็นจริง เพราะสื่อเหล่านี้ได้ประโยชน์จากการลงโฆษณาของบริษัทและธนาคารเหล่านี้
ผมไม่ได้เป็นนายหน้า ไม่ได้พัฒนาที่ดินเอง แต่ทำข้อมูลขายเพื่อประโยชน์ของวงการอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใดมานั่งควบคุม จึงมีอิสระที่จะแสดงความเห็นเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ผมเห็นว่า
1.ธปท. ควรกำหนดให้สถาบันการเงินอำนวยสินเชื่อในวงเงิน 80% ของมูลค่าตลาด เพราะการให้สินเชื่อแทบ 100% เช่นทุกวันนี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสถาบันการเงิน และอาจทำให้มีผู้หวังกู้เพื่อนำเงินไปใช้นอกระบบสถาบันการเงินก็เป็นไปได้ การให้เงินดาวน์ที่ 20% ทำให้ผู้ซื้อชั่งใจที่จะก่อหนี้ และเสียดายเงินดาวน์หากทิ้งไป แต่การนี้อาจมีบางท่านแย้งว่าการชะลอการซื้อจะทำให้ราคาบ้านเพิ่มขึ้น ข้อนี้คงไม่ต้องกังวล เพราะการซื้อที่น้อยลงทำให้ราคาบ้านไม่เพิ่มขึ้นมากนัก และขณะนี้ราคาวัสดุก่อสร้างก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
2.สำหรับมาตรการป้องกันการเก็งกำไร การลงทุนซื้อเพื่อปล่อยเช่า การผ่องถ่ายเงินจากระบบสถาบันการเงินไปสู่ธุรกิจนอกระบบ ธปท. ควรดำเนินการโดย ประการแรก การเพิ่มสัดส่วนเงินดาวน์ให้สูงขึ้นอีก เช่น เพิ่มเป็นประมาณ 30-40% ของมูลค่าตลาด และประการที่สองคือ การตรวจสอบผู้ซื้ออย่างละเอียด ไม่ใช่การให้บุตรหลานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือไม่มีรายได้เพียงพอจริงมาซื้อแทนผู้ที่ตั้งใจซื้อบ้านหลังที่สอง การนี้อาจทำให้การขายที่อยู่อาศัยลดลง แต่ก็จะทำให้ผู้ประกอบการได้ผู้ซื้อที่เป็นผู้ใช้สอย (End Users) ไม่ใช่นักเก็งกำไรที่อาจทำให้กระแสเงินสดของผู้ประกอบการเสียหายได้
3.เมื่อให้มีเงินดาวน์มากขึ้น ธปท. ก็ควรส่งเสริมการให้ระบบคุ้มครองเงินดาวน์ของคู่สัญญา (Escrow Account) มีผลบังคับใช้เป็นภาคปฏิบัติ ที่ผ่านมายังเป็นแบบอาสาสมัคร จึงไม่มีใครทำการคุ้มครองเงินดาวน์เลย การคุ้มครองเงินดาวน์เช่นนี้จะทำให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจมากขึ้น ยิ่งทำให้ตลาดมีการซื้อขายมากขึ้นไปอีก (http://bit.ly/2czumVk)
4.ควรมีการจัดเก็บภาษีการซื้อบ้านหลังที่สอง เช่น เก็บ 5-10% ของมูลค่า เพื่อยับยั้งการเก็งกำไร ซึ่งมาตรการด้านภาษีนี้จะเป็นมาตรการที่ได้ผลชะงัดที่สุดในการป้องกันการเก็งกำไร
5.ธปท. ไม่ควรให้สถาบันการเงินประเมินค่าทรัพย์สินเอง ไม่ว่าจะเป็นระดับราคาใด ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส มีธรรมาภิบาลในระบบสถาบันการเงิน อนึ่ง แม้ ดร.โสภณจะทำธุรกิจประเมินค่าทรัพย์สิน แต่ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของตนเอง แต่เพื่อประโยชน์ของระบบสถาบันการเงิน ทั้งนี้ เพราะค่าจ้างผู้ประเมินอิสระภายนอกจากบริษัทประเมินมีต้นทุนถูกกว่าการที่สถาบันการเงินจัดตั้งฝ่ายประเมินค่าทรัพย์สินของตนเอง หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 สถาบันการเงินหลายแห่งก็เคยยุบเลิกฝ่ายประเมินค่าทรัพย์สินของตนเองมาแล้ว
6.ธปท. ควรส่งเสริมการใช้ระบบประกันภัยวิชาชีพ (Indemnity Insurance) สำหรับผู้ให้บริการทางวิชาชีพต่างๆ เช่น ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน นาย
หน้า ผู้บริหารทรัพย์สิน เผื่อว่าหากดำเนินการผิดพลาดจะได้ไม่เกิดความเสียหายต่อระบบสถาบันการเงิน
7.เพิ่มประสิทธิภาพการขายบ้านมือสองของประชาชนด้วยกันเอง หรือของสถาบันการเงิน หรือของกรมบังคับคดี เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อบ้านมากขึ้น ทั้งนี้เพราะบ้านมือสองในทำเลใกล้เคียงกัน แต่สาธารณูปโภคด้อย การออกแบบ ประโยชน์ใช้สอย และความทันสมัยด้อยกว่าบ้านมือหนึ่ง จะถูกกว่าประมาณ 30-40% ทำให้ประชาชนไม่สิ้นเปลืองเงินมากนัก และไม่ต้องสร้างใหม่ เนื่องจากมีอยู่แล้ว เป็นการนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ แต่ก็ยังช่วยส่งเสริมกิจการต่อเนื่อง เช่น การซ่อมแซม การตกแต่งต่อเติม เฟอร์นิเจอร์ การอำนวยสินเชื่อ ฯลฯ ไม่ได้ตัดตอนผลพวงของการซื้อบ้านแต่อย่างใด
8.ธปท. ควรขอความร่วมมือให้สถาบันการเงินลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงประมาณ 1% แต่คงดอกเบี้ยเงินฝาก ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากต่างกันมาก สถาบันการเงินก็ได้กำไรจากการอำนวยสินเชื่อ และยังสามารถหารายได้ทางอื่นๆสูงมาก จึงน่าจะมีความเป็นไปได้ในการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริง
9.ธปท. ควรเฝ้าระวังพื้นที่หรือภาคส่วนที่อาจมีความเสี่ยงสูงหรือมีอุปทานคงเหลือมากเป็นพิเศษในพื้นที่เหล่านี้ (http://bit.ly/2PfLYsl) ควรขอความร่วมมือผู้ประกอบการอย่าได้ผลิตเพิ่มที่อยู่อาศัยมากจนเกินไป
You must be logged in to post a comment Login