วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เวลาที่หายไป / โดย ศิลป์ อิศเรศ

On October 26, 2018

คอลัมน์ : ร้ายสาระ

ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 26 ตุลาคม – 2 พฤศจิกายน 2561)

สองสามีภรรยาขับรถออกไปเที่ยวพักร้อนนอกเมือง ระหว่างทางขากลับพวกเขาเห็นดวงไฟลอยอยู่บนท้องฟ้าจึงจอดรถเพื่อแหงนมองดูว่าเป็นแสงไฟอะไร จากนั้นก็กลับขึ้นรถและขับกลับบ้าน ก่อนจะรู้ตัวว่าเวลาของพวกเขาหายไป 2-3 ชั่วโมง

เดือนกันยายน 1961 บาร์นีย์และเบ็ตตี้ ฮิลล์ ตัดสินใจลาพักร้อนเพื่อเดินทางไปเที่ยวน้ำตกไนแองการา ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเขาที่เมืองพอร์ทเมาท์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ราว 500 ไมล์ โดยนำเดลเซย์ สุนัขดัชชุนด์ที่เลี้ยงไว้ไปด้วย

บาร์นีย์เป็นชาวอเมริกันผิวสีเชื้อสายเอธิโอเปีย เกิดที่เมืองนิวพอร์ทนิวส์ รัฐเวอร์จิเนีย เมื่อปี 1922 บาร์นีย์ขึ้นทะเบียนทหารเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากปลดประจำการเขาเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเทมเปิล และแต่งงานกับรูบี้ ฮอร์น มีลูกด้วยกัน 2 คน ก่อนจะหย่าร้างกันไป

บาร์นีย์พบรักอีกครั้งกับยูนิซ อลิซาเบธ บาร์เร็ตต์ หรือที่เธอชอบให้เรียกสั้นๆว่า “เบ็ตตี้” เธออายุมากกว่าบาร์นีย์ 2 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านสังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิวแฮมป์เชียร์ ทำงานเป็นผู้จัดการสถานดูแลสวัสดิภาพเยาวชน

ในยุคที่ยังมีการเหยียดเชื้อชาตินั้น บาร์นีย์เป็นสมาชิกองค์กรสิทธิมนุษยชนและองค์กรสมาคมแห่งชาติเพื่อความก้าวหน้าของคนผิวสี จนได้รับคำชมเชยจากผู้ว่าการรัฐนิวแฮมป์เชียร์ และได้รับเชิญเข้าร่วมงานฉลองตำแหน่งประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน เมื่อปี 1963 ขณะเดียวกันบาร์นีย์ทำงานประจำในสำนักงานไปรษณีย์

ทริปพักร้อน

ต้นเดือนกันยายน 1961 บาร์นีย์และเบ็ตตี้ขับรถตรงไปน้ำตกไนแองการา พวกเขาพักอยู่ที่นั่น 2 คืนก่อนจะออกเดินทางต่อ ขับรถข้ามไปที่เมืองมอนทรีออลและควิเบก ประเทศแคนาดา พักอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ 19 กันยายน จึงเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 3

ระหว่างขับรถเข้าเขตเมืองอินเดียนเฮด รัฐนิวแฮมป์เชียร์ บาร์นีย์สังเกตเห็นแสงสว่างบนท้องฟ้าลอยตามรถของเขามาจึงนำรถแอบเข้าข้างทางเพื่อจอดลงมาดูว่าแสงไฟอะไรที่ตามรถมา จากนั้นเขาก็กลับขึ้นรถขับกลับมาจนถึงบ้านเมื่อเวลาเกือบ 05.00 น. ของเช้าวันใหม่

บาร์นีย์รู้สึกแปลกใจที่เดินทางมาถึงบ้านช้ากว่าที่ควรจะเป็น 2-3 ชั่วโมง เขาจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากจอดรถมองดูแสงไฟที่ตามเขามา มารู้สึกตัวอีกทีก็ขับรถมาถึงบ้านแล้ว ชุดที่เบ็ตตี้สวมใส่มีรอยฉีกขาด พบผงสีชมพูประหลาดบริเวณที่ฉีกขาด ต่างหูที่เธอสวมใส่หายไป และนาฬิกาของทั้งคู่หยุดเดินในเวลาเดียวกัน

บาร์นีย์และเบ็ตตี้นั่งคุยกันตลอดทั้งเช้าเพื่อพยายามรื้อฟื้นความทรงจำว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา แต่ทั้งคู่ก็จำอะไรไม่ได้เลย เบ็ตตี้โทรศัพท์ไปยังฐานทัพอากาศเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังเผื่อว่ากองทัพอากาศจะมีข้อมูลดวงไฟลึกลับที่เธอเห็นเมื่อคืน เจ้าหน้าที่ตอบว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นน่าจะเป็นดาวพฤหัสบดี

สืบด้วยตัวเอง

บาร์นีย์สังเกตเห็นรอยวงๆบนฝากระโปรงหลังรถ เมื่อนำเข็มทิศเข้าไปใกล้รอยเหล่านั้น เข็มทิศจะหมุนติ้วเหมือนอยู่ในสนามแม่เหล็ก เบ็ตตี้สงสัยว่าเรื่องประหลาดทั้งหมดน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งบินลึกลับ เธอจึงใช้เวลาไปค้นคว้าในห้องสมุดท้องถิ่นจนกระทั่งไปพบหนังสือชื่อเรื่อง “The Flying Saucers Are Real”

เบ็ตตี้เขียนจดหมายเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อปรึกษาหารือกับผู้เขียนหนังสือ ซึ่งผู้เขียนไม่ได้ตอบอะไร แต่ส่งผ่านจดหมายต่อให้กับวอลเตอร์ เว็บบ์ ผู้ที่เคยมีประสบการณ์พบเห็นสิ่งบินลึกลับคล้ายกับเบ็ตตี้ และทำงานเป็นผู้ช่วยหาข้อมูลให้กับผู้เขียน

หลายวันผ่านไปความทรงจำบางส่วนเริ่มกลับมา บาร์นีย์และเบ็ตตี้จำได้รางๆว่าดวงไฟที่เห็นเป็นจานบิน บาร์นีย์ใช้กล้องส่องทางไกลมองเห็นคนตัวสีเทาสวมชุดดำมันที่หน้าต่างจานบิน เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วอลเตอร์ติดต่อกลับมา แต่บาร์นีย์และเบ็ตตี้ให้ข้อมูลอะไรไม่ได้มากนัก

เบ็ตตี้เริ่มมีอาการฝันร้าย ขณะที่บาร์นีย์มีอาการหวาดระแวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต้องขับรถตอนกลางคืนคนเดียวเพื่อไปเข้าเวรกะดึกที่สำนักงานไปรษณีย์ ทำให้บาร์นีย์ต้องพึ่งสุราเพื่อย้อมใจ เวลาผ่านไปหลายเดือนรอบๆอวัยวะเพศของบาร์นีย์เป็นตุ่มคล้ายหูดโดยไม่ทราบสาเหตุ

รื้อฟื้นความจำ

ปี 1964 บาร์นีย์และเบ็ตตี้ตัดสินใจไปพบกับนายแพทย์เบนจามิน ไซมอน เพื่อทำการสะกดจิต เรื่องราวที่ถูกลบออกจากความทรงจำถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง คืนวันที่ 19 กันยายน 1961 ขณะที่บาร์นีย์ขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข 3 เขาสังเกตเห็นมีดวงไฟลอยตามรถมา บาร์นีย์จึงจอดรถแล้วหยิบกล้องส่องทางไกลดูว่าเป็นดวงไฟอะไร

มันเป็นวัตถุทรงแพนเค้กหมุนไปรอบๆตัวเอง มีดวงไฟหลากสีลอยขึ้น-ลงอยู่บนท้องฟ้า บางครั้งลอยลงต่ำจนถูกยอดไม้บัง บาร์นีย์กลับขึ้นรถขับไปจนพ้นทางโค้งก็เห็นวัตถุนั้นอยู่ตรงหน้า คราวนี้มันหยุดหมุนรอบตัวเองก่อนที่จะลอยข้ามหัวหายไปที่ทุ่งหญ้าข้างทาง

บาร์นีย์หยุดรถอีกครั้ง หยิบกล้องส่องทางไกลตามไปดู เขาเห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายคน 11 ร่าง หนึ่งในนั้นมองออกมานอกหน้าต่างจ้องมาที่เขาเหมือนใช้โทรจิตบอกให้เขาและภรรยาไปหา ทั้งคู่เดินขึ้นไปบนจานบิน พวกเขาถูกนำตัวไปตรวจทั่วร่างกาย เบ็ตตี้ถูกเข็มแทงลงที่สะดือ ขณะที่บาร์นีย์ถูกถ้วยครอบที่อวัยวะเพศบริเวณเดียวกับที่เป็นหูดในเวลาต่อมาเพื่อเอาตัวอย่างสเปิร์ม หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวก็ปล่อยตัวบาร์นีย์และเบ็ตตี้

บาร์นีย์บรรยายลักษณะมนุษย์ต่างดาวว่ามีดวงตาเอียงและเล็ก สวมเครื่องแบบสีดำมันคล้ายเครื่องแบบนาซี หนึ่งในนั้นสวมผ้าพันคอ ซึ่งฟังดูออกจะแปลกสักหน่อยสำหรับการแต่งกายของมนุษย์ต่างดาว

จำมาจากภาพยนตร์

ก่อนหน้าที่บาร์นีย์และเบ็ตตี้จะถูกสะกดจิตไม่กี่สัปดาห์ สถานีโทรทัศน์ได้ออกอากาศภาพยนตร์ซีรี่ส์มีเนื้อหาเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว 2 เรื่องคือ The Twilight Zone ตอน Black Leather Jackets มนุษย์ต่างดาวแต่งกายในชุดสีดำมัน และเรื่อง Outer Limits ตอน The Bellero Shield หน้าตามนุษย์ต่างดาวคล้ายกับมนุษย์ต่างดาวของบาร์นีย์ ทำให้บางคนเชื่อว่าความทรงจำของบาร์นีย์ถูกปนเปื้อนจนเกิดความสับสนในตัวเอง

อย่างไรก็ตาม นายแพทย์เบนจามินโดยส่วนตัวเชื่อตามคำให้การของบาร์นีย์และเบ็ตตี้ โดยให้เหตุผลว่ารายละเอียดที่อธิบายคล้ายคลึงกันแม้ว่าจะถูกแยกสะกดจิต และอากัปกิริยาขณะเล่าเหตุการณ์ภายใต้การถูกสะกดจิตสอดคล้องกัน ยากที่จะเสแสร้งแกล้งทำ

ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือเป็นเรื่องที่ถูกกุขึ้นมา ปัจจุบันชุดที่เบ็ตตี้สวมใส่ในคืนเกิดเหตุถูกนำไปตั้งแสดงที่มหาวิทยาลัยนิวแฮมป์เชียร์ ส่วนผงประหลาดสีชมพูเคยถูกนำไปวิเคราะห์ บอกได้แต่เพียงว่าเป็นโปรตีนประเภทหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ระบุว่าคืออะไร

1

1.บาร์นีย์และเบ็ตตี้ ฮิลล์ กับสุนัขดัชชุนด์เดลเซย์

2

2.บาร์นีย์และเบ็ตตี้กับข่าวของพวกเขา

3

3.จุดที่บาร์นีย์จอดรถดูจานบิน

BE057025

4.บาร์นีย์สเกตช์ภาพจานบิน

5

5.บาร์นีย์และเบ็ตตี้ถูกสะกดจิต

6

6.ภาพสเกตช์มนุษย์ต่างดาวของบาร์นีย์

7

7.มนุษย์ต่างดาวเรื่อง The Bellero Shield

8

8.มนุษย์ต่างดาวเรื่อง Black Leather Jackets

9

9.ชุดที่เบ็ตตี้สวมใส่ในคืนเกิดเหตุ

10

10.ป้ายในเมืองอินเดียนเฮด


You must be logged in to post a comment Login