- ปีดับคนดังPosted 5 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 1 day ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 3 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
อนาคตไทย…ยังไงดี?
คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง
(โลกวันนี้ฉบับพิเศษ ขึ้นปีที่20)
แม้จะยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งประกาศวันเลือกตั้งออกมาอย่างเป็นทางการ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะออกมาเปรยว่ายังไงก็จะไม่เกินเดือนพฤษภาคม 2562 แต่ถึงตอนนี้ค่อนข้างแน่นอน 99.99% ว่าการเลือกตั้งนั้นมีแน่ แต่จะเป็นไปตามที่เหล่าผู้มีอำนาจประกาศเอาไว้คือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 หรือไม่ ต้องเฝ้าติดตาม
แต่ในเมื่อธงเลือกตั้งถูกปักหลักเอาไว้ว่าแนวโน้มจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนแห่งความรัก ความคึกคักในการเคลื่อนไหวทางการเมืองก็เร่งดีกรีทวีความเข้มข้นมากขึ้นตามลำดับ
ในส่วนของพรรคการเมืองนั้น ณ ตอนนี้มีความชัดเจนแล้วว่าแบ่งออกเป็น 3 ก๊ก กับ 1 กั๊ก
ก๊กแรก คือก๊กที่ปฏิเสธการสืบทอดอำนาจของรัฐบาลทหาร คสช. อย่างชัดเจน แกนนำของการเมืองก๊กนี้คือพรรคเพื่อไทย โดยมีแนวร่วมสำคัญอย่างพรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ พรรคประชามติ พรรคสามัญชน พรรคเกียน
ก๊กที่สอง คือก๊กที่ไม่กั๊กท่าที ประกาศชัดเจนว่าจะสนับสนุนให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปหลังการเลือกตั้ง ก๊กนี้มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำ มีแนวร่วมอย่างพรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป
ก๊กที่สาม คือพวกพร้อมผสมพันธุ์ได้กับทุกฝ่าย ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติพัฒนา พรรคชาติไทยพัฒนา ฯลฯ พรรคการเมืองเหล่านี้มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น ไม่ถนัดทำงานเป็นฝ่ายค้านในสภา จึงพร้อมเข้าร่วมกับทุกฝ่าย
ส่วนอีกหนึ่งกั๊ก คือพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะประกาศจุดยืนว่าไม่ร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย พร้อมแบะท่าร่วมงานกับ “บิ๊กตู่” ได้ โดยตั้งข้อแม้ให้ดูเป็นการผสมพันธุ์ที่ไม่น่าเกลียดจนเกินไปว่าต้องปรับแนวทางการทำงาน แต่ก็ยังถือว่าเป็นการกั๊กท่าทีของตัวเองไว้ ไม่ปิดโอกาสที่จะแย่งซีนชิงรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งหากได้จำนวน ส.ส. ในมือมากพอที่จะเป็นตัวแปรไม่ให้ขั้วที่ไม่เอา “บิ๊กตู่” และขั้วที่เอา “บิ๊กตู่” สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ทั้งนี้เพราะในระบบการเลือกตั้งแบบแบ่งสันปันส่วนผสมที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อการเมืองไทย จะทำให้ไม่มีพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดกำชัยชนะได้อย่างเด็ดขาด พรรคไหนได้ ส.ส.เขตมาก จะได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์น้อย
การคิดคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แบบใหม่ทำให้พรรคเล็กพรรคน้อย พรรคขนาดกลาง มีโอกาสได้จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์มากขึ้น
ที่สำคัญการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นชัดเจนแล้วว่าประเพณีทางการเมืองที่ให้โอกาสพรรคที่ชนะเลือกตั้งแม้จะชนะเพียง 1 เสียง ได้สิทธิรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลก่อน หากทำไม่ได้ให้พรรครองลงมารวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล จะถูกลบทิ้ง
หลังเลือกตั้งต้นปีหน้าไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรจึงไม่สำคัญ แพ้ชนะไม่เกี่ยว ทุกพรรคมีสิทธิแข่งกันจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อทุกพรรคมีสิทธิแข่งกันจัดตั้งรัฐบาล ความสำคัญจึงตกมาอยู่ที่พรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็ก เพราะหากก๊กนี้นำกำลังไปเสริมข้างไหน ข้างนั้นก็จะกำชัยในศึกชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ไม่ยาก
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากต้องการคาดเดาอนาคตก็ให้มองย้อนไปดูอดีต ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นบรรดาพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กส่วนมากมีใจเอนเอียงไปในทางเข้าร่วมกับฝ่ายที่มีอำนาจในบ้านเมือง พร้อมที่จะไปเป็นลูกหาบ พร้อมที่จะไปเป็นนั่งร้านให้คนที่มีอำนาจได้สืบทอดอำนาจต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ยังไม่แน่นอนว่าหลังเลือกตั้งใครจะร่วมมือกับใครจัดตั้งรัฐบาล แต่ดูเหมือนมีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนทำใจยอมรับสภาพไว้ล่วงหน้าแล้วคือ “บิ๊กตู่” เตรียมต่อวีซ่านั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งค่อนข้างแน่
เหตุเพราะมีออพชั่นในการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมากกว่าคนอื่น ทั้งมาทางตรงคือเอาชื่อใส่ไว้ในบัญชีพรรคการเมืองเสนอเป็นนายกฯ และมาทางอ้อมคือใช้เสียงสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) 250 คน ที่จะแต่งตั้งไว้ก่อนลงจากอำนาจร่วมโหวตสนับสนุน
แม้ทุกคนจะทำใจยอมรับสภาพไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ก็ยังมองไปในทิศทางเดียวกันว่ารัฐบาลหลังการเลือกตั้งของ “บิ๊กตู่” ไม่น่าจะอยู่ได้นาน เพราะเมื่ออำนาจพิเศษหายไป เครื่องป้องกันตามกฎหมายอ่อนลง ย่อมส่งผลให้กระบองที่เคยถือในมือลดความน่ากลัวลง ถึงเข้าสู่อำนาจได้อีกครั้งหลังการเลือกตั้งก็ใช้อำนาจได้ไม่เต็มที่ ทำอะไรได้ไม่สะดวกเหมือนเคย
การเมืองเมื่อเล่นกันตามกติกา เล่นกันในสภา ไม่มีใครกลัวใคร
แม้พอมองเห็นเค้ารางการเมืองหลังการเลือกตั้ง และทำใจยอมรับสิ่งที่จะเกิดเอาไว้ล่วงหน้ากันบ้างแล้ว แต่อนาคตไทยหลังวันที่ 24 กุมภาพันธ์ปีหน้า ประชาชนยังร่วมกันออกแบบได้
หากอยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าต่อไปทางไหน อยากให้บ้านเมืองอยู่ในอำนาจปกครองของฝ่ายใด ประชาชนร่วมกันกำหนดได้ด้วยการเทคะแนนเสียงให้ฝ่ายนั้นชนะเลือกตั้งแบบขาดลอย เพื่อตัดความวุ่นวายในการแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาล และเพื่อให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งมีความมั่นคงเพียงพอ มีพลังขับเคลื่อนเพียงพอที่จะนำประเทศไปสู่เป้าหมาย ไปสู่สิ่งที่ประชาชนต้องการได้
ประชาชนจึงควรร่วมกันกำหนดอนาคตประเทศผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ยิ่งฝ่ายการเมืองแบ่งเป็น 3 ก๊ก กับอีก 1 กั๊กชัดเจนอย่างนี้ ยิ่งเป็นเรื่องง่ายที่จะใช้เสียงของประชาชนกำหนดอนาคตของประเทศ
จงมาร่วมกันออกแบบอนาคตประเทศผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ชอบฝ่ายไหนเทคะแนนให้ฝ่ายนั้น อนาคตไทยจะเป็นยังไงต่อไป ไม่ว่าเสียงก้องกังวานจากสวรรค์ชั้นไหน หรือเสียงร้องคำรามจากนรกขุมใด ก็มิอาจต้านทานเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน!!??
You must be logged in to post a comment Login