- ต้องมีก้างขวางคอไว้บ้างPosted 6 hours ago
- ส.ว.ต้องสร้างผลงานเชิดชูองค์กรPosted 1 day ago
- รอความจริงเปิดเผยPosted 5 days ago
- ไม่ประมาท โอกาสรอดมีเยอะPosted 5 days ago
- ล้างบางพระทาสยานรกPosted 6 days ago
- ยิ่งดิ้น ยิ่งจมPosted 1 week ago
- ไม่มีอะไรแน่นอนPosted 1 week ago
- ต้องเรียนวิชาป้องกันตัวเองPosted 2 weeks ago
- ยิ่งเรียน ยิ่งโง่ ยิ่งโต ยิ่งเซ่อPosted 2 weeks ago
- สื่อต้องเสนอข่าวสร้างสรรค์Posted 2 weeks ago
ดาบสองคม
![](https://www.lokwannee.com/web2013/wp-content/uploads/2018/11/4951-ONLINE1-237x336.jpg)
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
ยุทธศาสตร์แตกสาขาพรรคกระจายความเสี่ยงจากการถูกยุบพรรคและหารส่วนแบ่งเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคเพื่อไทยนำมาใช้ มุมหนึ่งมองได้ว่าเป็นความแยบยลทางการเมือง แต่อีกมุมหนึ่งก็มองได้ถึงความเสี่ยง เพราะความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวอาจไม่เหมือนเดิม เรียกว่าสั่งไม่ได้ 100% ที่สำคัญความจริงจังกับการหาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนจากระบบบัตรเลือกตั้งใบเดียวอาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้นได้แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนของสำนักงานใหญ่ก็ตาม ยุทธศาสตร์แตกสาขาจึงเป็นดาบสองคม
การเมืองก่อนปลดล็อกอย่างเต็มรูปแบบมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการย้ายสังกัดพรรคของบรรดาอดีต ส.ส.
ล่าสุดจะมีการเปิดตัวพรรคใหม่อย่างเป็นทางการขึ้นอีกพรรค และถือว่าน่าสนใจ เพราะคนที่มาทำพรรคการเมืองนี้ล้วนเป็นลูกหม้อของพรรคไทยรักไทย และทำงานร่วมกับแกนนำอื่นมาตลอดทั้งในพรรคพลังประชาชนและพรรคเพื่อไทย
แต่ทำไมจึงแยกตัวมาสร้างบ้านหลังใหม่
แม้หลายคนมองว่าเป็นการแตกสาขาของพรรคเพื่อไทยเพื่อรองรับกติกาใหม่ เป็นการกระจายความเสี่ยงจากการยุบพรรค และเพิ่มโอกาสได้เก้าอี้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเมืองแม้จะแตกมาจากหน่อเดียวกัน แต่เมื่อแยกออกมาแล้วต้องถือว่าเป็นคนละส่วน แม้จะมีการประสานความร่วมมืออยู่บ้าง แต่แต่ละพรรคจะมีแนวทางเป็นของตัวเองไม่มากก็น้อย
ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชาติ พรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ และล่าสุดที่จะเปิดตัวในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้คือพรรคไทยรักษาชาติ ถึงจะมีกระแสข่าวยืนยันว่าเป็นการแตกหน่อเพื่อเดินยุทธศาสตร์ทางการเมือง ไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทย
แต่เมื่อแตกตัวออกมาแล้ว ความเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวจะไม่เหมือนเดิม
เรียกว่าสั่งไม่ได้ 100%
ก่อนหน้านี้ พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ มีความชัดเจนเรื่องตัวบุคคลที่จะมานำพรรคแล้ว ถือว่าไม่อยู่ในระดับที่น่าสนใจเท่าไร
แต่การแจ้งเกิดของพรรคไทยรักษาชาติมีความแตกต่างออกไปจากเดิม มีความน่าสนใจมากกว่า เพราะชื่อชั้นของคนที่จะมาร่วมพรรคล้วนเกรดดีกว่าพรรคประชาชาติ พรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ
ชื่อหนึ่งที่ชัดเจนแล้วคือ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คนหนุ่มไฟแรงและมีความแนบแน่นกับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ค่อนข้างมาก
ยิ่งหากหัวหน้าพรรคชื่อ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร หนึ่งในขุนพลด้านเศรษฐกิจตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พรรคไทยรักษาชาติจะมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น และจะยิ่งน่าสนใจเพิ่มเข้าไปอีกหากมีชื่อนายจาตุรนต์ ฉายแสง นายนพดล ปัทมะ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ยิ่งจะทำให้มองเห็นระดับความสำคัญของพรรคไทยรักษาชาติ
ทั้งนี้ หากดูตามยุทธศาสตร์แล้ว แม้พรรคไทยรักษาชาติจะแตกหน่อมาจากพรรคเพื่อไทย แต่หากต้องการได้จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อตามเป้าเพื่อไปชดเชยจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยที่จะหดหายไปตามกติกาเลือกตั้งใหม่ก็จะต้องส่งผู้สมัคร ส.ส. ให้ได้มากที่สุด อย่างน้อยต้องส่งให้ได้ถึง 3 ใน 4 ของจำนวน ส.ส.เขตที่มี 350 ที่นั่งในสภา
แน่นอนว่าระบบการเลือกตั้งแบบใช้บัตรใบเดียวหากคิดจะนำคะแนนมาใช้คำนวณส่วนแบ่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ การหาเสียงก็ต้องมีความจริงจัง ไม่ใช่ยื่นใบสมัครแล้วไปนอนตีพุงอยู่บ้าน
เมื่อต้องจริงจังกับการหาเสียง การกระทบกระทั่งกันก็อาจเกิดขึ้นได้แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนของสำนักงานใหญ่ก็ตาม
ถึงระดับหัวจะคุยกันได้ แต่ระดับพื้นที่ต้องใส่เต็มร้อยเพื่อให้ได้แต้มมาแบ่งเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ยุทธศาสตร์แตกสาขาจึงเป็นดาบสองคม เมื่อต้องสู้กันเต็มที่ก็อาจเกิดความเหินห่างกันขึ้นได้ไม่วันนี้ก็วันหน้า
You must be logged in to post a comment Login