วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

กะลาแลนด์ 4.0

On November 8, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 9-16 พฤศจิกายน 2561)

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ได้แต่งเพลง “แร็พ Thailand 4.0 คนไทยสู้ได้” เพื่อจะบอกถึงความเป็นไทยที่มีของดีและการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งคนไทยต้องมีนวัตกรรมเพื่อไปสู้กับประเทศอื่น ขอให้มีไอเดีย กล้าลอง การที่รัฐบาลทำเพลงแร็พ Thailand 4.0 ไม่ได้ต้องการไปสู้กับเพลง “ประเทศกูมี” แต่เป็นจังหวะเดียวกัน เผยแพร่ออกมาพอดี รัฐบาลก็เลยใช้จังหวะนี้นำเพลง Thailand 4.0 ออกมาสื่อสารกับประชาชนด้วยทำนองเพลงแร็พ เพื่อให้ประชาชนเห็นและรับรู้ในสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ

โดยนายสุวิทย์ยืนยันว่า ตั้งใจและให้โจทย์ทำเพลงแร็พ Thailand 4.0 ไป 3-4 เดือนแล้ว พอดีมีนักธุรกิจสตาร์ตอัพมาพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงอาศัยจังหวะช่วงนี้เปิดเพลง เพื่อต้องการสร้างความเข้าใจกับประชาชนถึงความหมายไทยแลนด์ 4.0 เนื่องจากส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจความหมาย ถ้าให้อธิบายก็คงยาก จึงใช้เพลงมาอธิบายเพื่อให้ง่ายขึ้น

ดูแล้วเข้าใจสำคัญกว่าตัวเลข

นายสุวิทย์กล่าวว่า ได้แรงบันดาลใจจากรายการเดอะแร็พเปอร์ ซึ่งตอนแรกจะให้นายณัฐวุฒิ ศรีหมอก (กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่) นายพิษณุ บุญยืน (ปู่จ๋าน ลองไมค์) นายจิรายุทธ ผโลประการ (ยัวร์บอยทีเจ) และนายพิทวัส พฤกษกิจ (โต้ง ทูพี เซาท์ไซด์) มาร้อง ซึ่งตนเป็นแฟนคลับรายการนี้อยู่แล้ว ส่วนจำนวนผู้เข้าไปดูกว่า 1 ล้านวิวแล้วนั้น ไม่อยากให้มองในเรื่องตัวเลข คำถามคือดูแล้วคิดต่อและเข้าใจหรือไม่เป็นเรื่องสำคัญกว่า คือต้องการให้คนเข้าใจมากกว่า

“ใครที่บอกว่าแร็พต้องใช้คำหยาบ ผมก็งง มันไม่จำเป็น เราต้องการเน้นเนื้อหา อย่างที่ผมเรียน ผมไม่ได้ต้องการไปแข่งกับแร็พประเทศกูมี เราทำของเราเองเพื่อให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น จากนั้นจะมีการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบอื่นต่อไป สิ่งที่ตั้งใจคือ ทำให้เห็นไทยแลนด์ 4.0 ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ แต่ขอให้ทุกคนกล้าคิด กล้าทำ มันไปได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปใช้คำหยาบคาย เหมือนที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ระบุว่า แร็พไทยแลนด์ 4.0 ไม่มีคำหยาบคาย ทำให้ไม่ขยี้หัวใจ พูดไม่เป็นความจริง ผมว่าธนาธรยังติดอยู่แบบเดิมๆ แร็พสมัยนี้เป็นแบบสร้างสรรค์ ไปถาม 4 คนในรายการเดอะแร็พเปอร์ได้ว่าปัจจุบันต้องเป็นแร็พเปอร์ที่ตอบโจทย์สังคม ไม่ใช่สะท้อนสังคมหรือใช้คำหยาบคายอย่างเดียว”

นายสุวิทย์ยังกล่าวอีกว่า จะมีการแต่งเพลงใหม่ๆจากนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งนายกฯผลักดันมา 3-4 ปีแล้ว หลายอย่างเกิดเป็นรูปธรรม ทั้งการพัฒนาพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ดิจิตอล เพียงแต่ประชาชนไม่เข้าใจว่าพูดอะไร ฉะนั้นการสื่อความจึงเป็นเรื่องสำคัญ เรายอมรับความแตกต่างอยู่แล้ว ตนต้องการแร็พที่สะท้อนสังคม แต่ต้องบอกได้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ไม่ใช่มัวแต่พูดถึงปัญหา แบบนั้นไม่ถูก

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ได้ฟังเพลงแร็พเข้าท่าเข้าทาง เดี๋ยวคงต้องให้แก้ไขนิดหน่อย เช่น ต้องเปลี่ยนทำนองนิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่ก็ดีแล้ว มีสาระอยู่แล้ว “ลุงอ่ะใจดี แต่ก็ต้องเห็นอกเห็นใจลุงบ้าง เพราะมีหลายเรื่องที่ลุงต้องรับผิดชอบ อะไรก็ตามที่มีผลกระทบต่อจิตใจ บางครั้งก็มีผลต่อการทำงานลุง บางทีก็ต้องเตือนบ้างอะไรบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไปปิดกั้นใคร”

ทุบกะลาออกจากกะลา

เพลงแร็พ Thailand 4.0 ที่มีทำนองคล้ายกับเพลง “ยกมือขึ้น” ของศิลปินแร็พชื่อดัง-โจอี้ บอย เผยแพร่ผ่านสื่อทุกช่องทางทั่วประเทศเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน และนำไปเปิดในงานนายกรัฐมนตรีพบประชาคมวิจัยจากภาครัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัย ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน เพื่อมอบสมุดปกขาว “การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของประเทศไทย” ให้ พล.อ.ประยุทธ์

ที่น่าสนใจคือเนื้อเพลงที่บอกว่าคนไทยเก่งไม่น้อยหน้าใคร หากออกมา “นอกกะลา” ที่ครอบออกก็จะสว่าง “…สมองไทย ไปไกลทั่วโลก ไม่ได้เป็นเรื่อง Joke คนไทยเก่งขึ้น สมองมีกับความคิดดีๆ แค่บวกเทคโนโลยีก็ไปได้ไกลขึ้น นวัตกรรม ใครว่ายากจัง รู้ คิด สร้างทำ ทำขึ้นทำขึ้น จะทำนา ปลูกผัก ทำไร่ ใส่ไอเดียเข้าไป ราคาก็ดีขึ้น นักประดิษฐ์ คิดแอพ ทำจรวด ส่งความคิดมาประกวด ให้เฉียบขึ้นเฉียบขึ้น รับจ้าง นักเรียน นักศึกษา คิดนอกตำราก็เตรียมตัวรวยขึ้น พนักงาน ออฟฟิศ ผู้ผลิต ขอเพียงอย่าหยุดคิด ชีวิตยิ่งดีขึ้น รื้อราก ขุดตอ ถอนโคน ทุบกะลาให้มันโดน ไทยกระโจนไกลขึ้น…”

คนชอบเป็นพัน คนชังเป็นหมื่น

แม้นายสุวิทย์ยืนยันว่าเพลง “Thailand 4.0 คนไทยสู้ได้” ไม่ได้เอามาสู้หรือแก้เกมเพลงแร็พ “ประเทศกูมี” แต่การเผยแพร่ผ่าน Youtube โดยระบุว่าเป็นคลิปของ “NIA : National Innovation Agency, Thailand” และต่อมา NIA Channel ซึ่งเป็นผู้จัดทำเพลงนี้ก็ได้เผยแพร่คลิปดังกล่าวอีกครั้งจนเกิดกระแสความสนใจในเพลงนั้น ช่วงแรกวันที่ 5 พฤศจิกายน (13.14 น.) ที่มีคนแห่เข้ามาดูมียอดพุ่งถึง 1,450,125 ครั้ง ยอดกดชอบอยู่ที่ 1,200 ครั้ง แต่ยอดกดไม่ชอบมีมากถึง 25,000 ครั้ง

เพจ “คาราโอเกะชั้นใต้ดิน” ซึ่งเป็นแฟนเพจบนเฟซบุ๊คที่มักจะหยิบยกประเด็นทางสังคมมาเสียดสีด้วยตัวอักษรในเพลงคาราโอเกะ ได้นำเพลง “Thailand 4.0 คนไทยสู้ได้” มาเล่น ปรากฏว่ามียอดกดชอบ กดและหัวเราะอยู่ที่ราว 19,000 และแชร์ถึง 2,187 ครั้ง (5 พฤศจิกายน 14.54 น.) ด้วยการนำภาพยอดกดชอบที่น้อยกว่ายอดกดไม่ชอบพร้อมคำบรรยายคาราโอเกะว่า “ไม่มีคำบรรยายใดใดซักคำให้ลึกซึ้ง”

เพจ Youthai Drama วิจารณ์ว่า จังหวะของเพลง “Thailand 4.0 คนไทยสู้ได้” นั้นล้าหลังเกินไป ฟังแล้วคล้ายเพลง Hip-hop ยุค 90 หรือเพลงมาร์ชโรงเรียน โดยพยายามทำความเข้าใจเนื้อหาของบทเพลง แต่ก็ยังรู้สึกว่าขัดกับคำว่า Hip-hop ซึ่งยอดกดชอบน้อยกว่าไม่ชอบมาก จึงไม่น่าจะเป็นไปตามวัตถุประสงค์

ปฏิกิริยาสื่อ-YouTuber

ขณะที่เพลง “ประเทศกูมี” วันนี้ก็ดังทะลุโลก ซึ่งนับจากที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ยอดวิวทะลุ 30 ล้านครั้งแล้ว มียอดถูกใจกว่า 900,000 ราย และยอดไม่ถูกใจแค่ 20,000 กว่าราย โดยมีสื่อทั่วโลกนำมาเผยแพร่และวิจารณ์ถึงประเทศไทยยุครัฐบาลทหาร ซึ่งเว็บไซต์ “ประชาไท” ได้รายงานว่า มีผู้ที่มีชื่อเสียงได้รับความนิยมในสื่ออินเทอร์เน็ต นักอัพโหลดสื่อวิดีโอผ่านเว็บไซต์ที่เรียกว่า “YouTuber” ได้แสดงความเห็นและปฏิกิริยาต่างๆ (Reaction) อย่างหลากหลาย

อย่างยูทูบเบอร์ไทย “Sean Buranahiran-ฌอน บูรณะหิรัญ” คลิปรีแอ็คชั่น (22.00 น. วันที่ 1 พฤศจิกายน) ที่เผยแพร่มียอดวิวที่ 1,400,266 ครั้ง ยอดถูกใจ 32,000 ราย และยอดไม่ถูกใจ 734 ราย เห็นว่าเป็นกระแสที่มาแรง เปิดช่องให้ผู้คนได้ระบายความไม่พอใจ โดยช่วงที่เขาตะลึงที่สุดคือฉากตุ๊กตาซึ่งถูกแขวนบนต้นไม้ถูกฟาดด้วยเก้าอี้ และอวยพรให้กลุ่มศิลปินที่ขับร้องเพลงนี้ปลอดภัย

ส่วนยูทูบเบอร์ต่างประเทศแชนแนลที่มีชื่อ “Mat Salleh” ที่ปรกติจะทำเนื้อหาเกี่ยวกับเพลงในประเทศต่างๆ รวมถึงรีวิวการท่องเที่ยว ได้เผยแพร่คลิปรีแอ็คชั่นต่อเพลง “ประเทศกูมี” โดยช่วง 21.00 น. วันที่ 1 พฤศจิกายน พบว่าเป็นคลิปรีแอ็คชั่นที่มียอดวิวสูงสุดถึง 2,022,220 ครั้ง ยอดกดถูกใจ 64,000 ราย และยอดไม่ถูกใจ 834 ราย โดยเขาออกตัวก่อนดูคลิปว่า เขารักเมืองไทย เขาเคยเที่ยวไปในหลายที่ของไทยและรักคนไทยมาก แต่เมื่อได้ชมคลิปเพลง “ประเทศกูมี” แล้วก็รู้สึกช็อกกับเนื้อหาและคลิปวิดีโอที่เอาฉากเหตุการณ์ 6 ตุลามาใช้ รวมถึงยกย่องว่าเป็นเพลงที่สุดยอดและศิลปินกล้าหาญ

แชนแนล “Junosuede” ก็ตะลึงกับเนื้อหาของบทเพลงในหลายส่วน โดยคลิปรีแอ็คชั่นของเขามียอดวิวที่ 457,567 ครั้ง ยอดถูกใจ 13,000 ราย ยอดไม่ถูกใจ 161 ราย โดยเดิมทีไม่ต้องการจะทำคลิปเกี่ยวกับเพลงแนวนี้ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่อ่อนไหว แต่มีคนจำนวนมากขอร้องให้รีแอ็คต่อเพลงนี้ ซึ่งกดถูกใจเพลงนี้สูงมากเมื่อเทียบกับการกดไม่ถูกใจ จึงตัดสินใจทำคลิปรีแอ็คชั่นเพลง “ประเทศกูมี” และช็อกกับหลายกรณีในเนื้อเพลง รวมถึงฉากฟาดเก้าอี้ใส่ตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กับต้นไม้ ทั้งชื่นชมศิลปิน และสนับสนุนให้คนไทยคนอื่นๆแสดงออกแต่อย่าให้ถูกจับกุม

ขณะที่สำนักข่าว “อัลจาซีรา” ได้โพสต์เพลง “ประเทศกูมี” พร้อมคำแปลภาษาอังกฤษผ่านเฟซบุ๊ค Al Jazeera English (6 พฤศจิกายน) ถึงความร้อนแรงของเพลงแร็พที่ใกล้แตะ 30 ล้านวิวในเวลา 2 สัปดาห์ “This Thai hip-hop group have released a music video that’s become a big hit in Thailand, but the country’s military government doesn’t want anyone to see it.”

แร็พ Thailand 4.0 แร็พไร้พลัง

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวช่วงหนึ่งในงาน FutureFest ที่ The jam factory คลองสาน (4 พฤศจิกายน) เย้ยเพลง “Thailand 4.0 คนไทยสู้ได้” ว่าเป็นเพียงแร็พของเก๊ ไม่สามารถเข้าถึงใจคนฟังได้ เราไม่แปลกใจกับการเกิดขึ้นของ Rap Agianst Dictatorship (RAD) เพราะเพลงแร็พคือวัฒนธรรมของคนจนเมือง ไปขีดเขียนบนกำแพง โมโหโกรธกับโครงสร้างในสังคมที่ไม่มีทางออก ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเข้าถึงโอกาสไม่ได้ แร็พจึงเต็มไปด้วยคำหยาบที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเขา

“ทำให้เราไม่ต้องแปลกใจกับแร็พ THAILAND 4.0 ที่รัฐบาลออกมา ซึ่งเป็นแร็พที่ไม่มีพลังเลย ไม่มีคำหยาบ เพราะมันไม่ใช่วัฒนธรรมของเขา ไม่ได้พูดถึงความจริงในสังคม ขยี้หัวใจประชาชนจนฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นของเรา ไม่ใช่ความเป็นจริงในสังคมที่ฟังแล้วจะรู้จัก”

แร็พคือวัฒนธรรมที่ใช้ในการต่อสู้อย่างถึงพริกถึงขิง การต่อสู้กับวัฒนธรรมทางจารีตแทบไม่เกิดขึ้นเลย ในช่วงที่ผ่านมา ถ้าจะทำให้ประเทศไทยทัดเทียมกับโลกเศรษฐกิจ เราต้องการวัฒนธรรมแห่งการปลดแอก ปลดปล่อยศักยภาพของประชาชน ไม่ต้องการวัฒนธรรมที่คาดหวังให้เราเหมือนกัน เชื่อเหมือนกัน แต่งตัวเหมือนกัน รักคนคนเดียวกัน แต่เราต้องการวัฒนธรรมที่ยอมรับความหลากหลาย สามารถยืนหยัดบนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้แม้จะแตกต่างกัน แต่เพราะเราเชื่อว่าความหลากหลายคือความสวยงาม จะเป็นพลัง คนที่คิดเหมือนกันหมดไม่สามารถก่อให้เกิดพลังได้

พล็อตเก่านิทานเรื่องเมืองไทย

ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊Kasian Tejapira (5 พฤศจิกายน) “ผมเห็นอะไรจากแร็พ Thailand 4.0?” ว่า ผมเห็น “ความฝันของ คสช.” เกี่ยวกับเมืองไทยนะครับจาก “แร็พฯ” นี้ กล่าวคือ Thailand 4.0 เป็นประเทศที่ : ปลอดการเมือง (apolitical) ไร้ปัญหา ไม่มีประวัติศาสตร์ (devoid of problems & history) ทุกอย่างแก้ได้ทำได้ด้วยเทคโนโลยี (technology fetishism) สามัคคีคนไทยไร้การเมืองภายใต้การนำแบบเทคโนแครตอำนาจนิยม (ทหาร-ราชการ) ของรัฐบาล คสช. (a unified apolitical Thai people under the authoritarian technocratic leadership of bureaucrats & the military a la NCPO government)

สรุปคือ เป็นพล็อตเก่ามาตรฐานของนิทานเรื่องเมืองไทยภายใต้การนำของ คสช. น่ะครับ ไม่ต่างจากที่ลุงตู่เล่าให้ฟังอย่างยืดยาวทางทีวีบังคับดูทุกคืนวันศุกร์รอบ 4 ปีที่ผ่านมา”

ไล่ยึดปฏิทินทักษิณ-ยิ่งลักษณ์

เพลงแร็พ “ประเทศกูมี” และ “Thailand 4.0 คนไทยสู้ได้” สะท้อนให้เห็นความแตกต่างระหว่างโลกประชาธิปไตยกับโลกเผด็จการได้อย่างดี โดยเฉพาะช่วงใกล้จะมีการเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ “ทั่นผู้นำ” สัญญา แต่หลายฝ่ายก็ยังไม่มั่นใจ 100% เพราะแม้จะมีการ “ปลดล็อกการเมือง” แต่ก็ยังมีอำนาจ “มาตรา 44” ที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ รัฐบาลทหารและ คสช. ยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่ทำอะไรก็ได้โดยไม่มีความผิด แม้แต่ล้มกระดานการเลือกตั้ง ซึ่งไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะการพยายามปลุก “ผีทักษิณ” เพื่อยุบพรรคเพื่อไทยยังเป็นกระแสข่าวอย่างต่อเนื่อง

เพราะแม้แต่ปฏิทินที่มีรูปอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร และอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังถูกมองว่าอาจเป็น “อาวุธร้ายแรง” ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง โดยเพจ iLaw ได้รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน เวลาประมาณ 11.00 น. ผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ Wassana Kenhla โพสต์ภาพถ่ายที่มีตัวเธอกำลังนั่งพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทหารในชุดลายพรางถือปฏิทินปี 2562 ที่มีภาพอดีตนายกฯทักษิณและยิ่งลักษณ์ โดยเขียนข้อความประกอบภาพทำนองว่ามีเจ้าหน้าที่มาสอบถามเรื่องปฏิทินแต่เช้า ถามว่าได้ปฏิทินมาจากไหน เธอจึงถามกลับไปว่าการมีปฏิทินดังกล่าวผิดอย่างไร

หลังจากผู้ใช้เฟซบุ๊คคนดังกล่าวโพสต์ข้อความและภาพ ก็มีสำนักข่าว เช่น ข่าวสดออนไลน์ และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมทางการเมืองอย่างทนายอานนท์ นำภา นำไปแชร์ต่อ กระทั่งมีผู้ใช้เฟซบุ๊คคนอื่นๆมาวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ดังกล่าวต่อท้ายสเตตัสและภาพของเธอหลายข้อความ

อย่างไรก็ตาม หลังเธอโพสต์ภาพและข้อความไป เจ้าหน้าที่ทหารชุดเดิมก็กลับมาที่บ้านเธออีกครั้งในเวลาประมาณ 15.30 น. และบอกให้เธอลบภาพและโพสต์ดังกล่าวทิ้ง เพราะมีภาพเจ้าหน้าที่ปรากฏอยู่ด้วย แต่เธอยืนยันว่าจะไม่ลบภาพ เพราะเห็นว่าไม่ได้เป็นการกระทำความผิดใดๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาคุยกับเธอก็บอกว่าไม่ผิด

จากขันแดงถึงปฏิทิน

กรณีปฏิทินรูป 2 อดีตนายกฯที่กลายเป็นเรื่องอ่อนไหวนั้น ก่อนหน้านี้ปี 2550 ที่สำนักงานอดีต ส.ส.น่าน ของพรรคเพื่อไทยก็มีกรณี “ขันแดง” ที่จะนำมาเล่นน้ำวันสงกรานต์และมีชื่ออดีตนายกฯทักษิณ ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารยึดไปทั้งหมดและขู่ว่าจะตั้งข้อหาผิดมาตรา 116 ทำลายความมั่นคง และยังคาดคั้นให้ ส.ส. ทั้ง 3 ตอบว่าได้ขันใบนี้มาจากไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทหารทำตามคำสั่งของ “นาย” แต่ก็สะท้อนความจริงของบ้านเมืองภายใต้อำนาจรัฐประหารอย่างที่เพลง “ประเทศกูมี” สะท้อนออกมา

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงปฏิทินที่มีรูปของอดีตนายกฯทักษิณและยิ่งลักษณ์มีความผิดหรือไม่ว่า ต้องดูว่าเป็นเรื่องที่ควรหรือไม่ควร ก็ต้องไปหามา เป็นหน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคง ก็ต้องไปดูในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องปฏิทินหรือเรื่องอื่นๆ ถ้าอะไรก็ตามที่มีผลต่อการสร้างความเกลียดชังและผลกระทบต่างๆก็ต้องไปตรวจสอบ ถือเป็นหน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งต้องไปดูว่าเหมาะสมหรือไม่ เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีแต่มีความเกี่ยวข้องกับคดีความต่างๆที่ยังมีปัญหาอยู่ ก็ต้องไปดูว่าควรทำหรือไม่ควรทำ ขอร้องว่าอย่าไปขยายผลเพิ่มเติมให้กับเขาเลย ตนเองไม่อยากจะพูดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า เจ้าหน้าที่เพียงขอไปดู ไม่มีอะไร คนที่ครอบครองก็ไม่มีความผิด ใครจะรักใครชอบใครก็ว่ากันไป จะอัดรูปมาเป็นหมื่นก็ได้ ส่วนจะแจกได้หรือไม่นั้นต้องไปถาม คสช. เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปตรวจสอบก็มีเพียง 3-4 คนเท่านั้น เบื้องต้นทราบว่าคนที่ครอบครองปฏิทินเป็นคนที่ต่อต้านรัฐบาลอยู่แล้ว ก็รู้กันอยู่คนไหนเป็นพวกใคร ส่วนการแจกปฏิทินต้องไปดูว่าปฏิทินดังกล่าวเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองด้วยหรือไม่

เมื่อถามว่าการนำปฏิทินมาแจกจะก่อให้เกิดความวุ่นวายหรือไม่ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะวุ่นวายอย่างไร และตนจะไปรู้ได้อย่างไร ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าจะก่อให้เกิดการแบ่งสีแบ่งฝ่ายอีกนั้น ถือเป็นคำถามที่น่าถาม แต่ตนไม่สามารถตอบได้

โลกในกะลา..!

ปรากฏการณ์เพลงแร็พ “ประเทศกูมี” และเพลงแร็พ “Thailand 4.0 คนไทยสู้ได้” จนกระทั่งการตามยึดปฏิทิน “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ยิ่งทำให้เห็น “โลกความจริง” กับ “โลกความฝัน” ภายใต้ “ระบอบเผด็จการอำนาจนิยม” ว่าทำให้ประเทศมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการพยายามวาดฝันด้วยการชู “แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” และ “การปฏิรูปประเทศ” รวมถึงการขับเคลื่อนสารพัดโครงการ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย 4.0 โครงการประชารัฐหรือไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งคนทั้งประเทศจะให้คำตอบได้อย่างดีว่า 4 ปีที่ผ่านมาประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และประชาชนมีความสุขจริงหรือไม่

โดยเฉพาะช่วงใกล้จะมีการเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 ซึ่ง “ทั่นผู้นำ” สัญญาครั้งล่าสุด แต่หลายฝ่ายก็ยังไม่มั่นใจ 100% เพราะแม้จะ “ปลดล็อกการเมือง” แต่ก็ยังมีอำนาจ “มาตรา 44” ที่มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้มีอำนาจทำอะไรก็ได้โดยไม่มีความผิด แม้แต่การล้มกระดานการเลือกตั้ง หรือการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ซึ่งไม่มีใครคาดเดาได้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร

โดยเฉพาะการพยายามปลุก “ผีทักษิณ” เพื่อยุบพรรคเพื่อไทยยังเป็นกระแสข่าวอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ปฏิทินที่ผู้มีอำนาจบอกว่าการมีไว้ไม่มีความผิด แต่ก็ปล่อยให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจตรวจสอบและตามยึดโดยอ้างเรื่องความมั่นคง ทั้งที่ผ่านมา 12 ปี มีการยึดอำนาจ 2 ครั้ง แต่ “ผีทักษิณ” ก็ยังหลอกหลอนกลุ่มผู้มีอำนาจ ขณะที่ประชาชนก็ยังไม่ลืมและยังศรัทธา “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”

จึงไม่แปลกที่ในเวลา 2 สัปดาห์ เพลงแร็พ “ประเทศกูมี” เวลา 07.35 น. วันที่ 7 พฤศจิกายน มียอดดู 29,739,991 ครั้ง ใกล้ทะลุ 30 ล้าน กดถูกใจ 948,000 ครั้ง กดไม่ถูกใจแค่ 26,000 ครั้ง ขณะที่เพลงแร็พ “Thailand 4.0 คนไทยสู้ได้” ที่มาแรงเหมือนกัน มียอดวิว 3,482,888 ครั้ง ยอดกดถูกใจ 3,000 ครั้ง กดไม่ถูกใจ 47,000 ครั้ง

ยอดดู 2 เพลงแร็พ ยอดกดถูกใจและกดไม่ถูกใจบ่งบอกได้ชัดเจนว่าบ้านเมืองออกจาก “กะลา” ที่ครอบไว้หรือไม่ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจ เพราะแม้แต่รัฐธรรมนูญก็ยังเขียนหมกเม็ดในกะลาเพื่อให้มีการ “สืบทอดอำนาจ” ไปอีกอย่างน้อย 20 ปี

“รื้อราก ขุดตอ ถอนโคน ทุบกะลาให้มันโดน ไทยกระโจนไกลขึ้น..”(ฮา)!!


You must be logged in to post a comment Login