วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ไม่มีไฟไฉนมีควัน

On November 12, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

ข้อเท็จจริงในการแตกสาขาพรรคเพื่อไทยในมุมที่ไม่ได้สวยงามอย่างที่คิดกันกำลังถูกเปิดเผยออกมาว่าแท้จริงไม่ใช่ยุทธศาสตร์แยกกันเดินร่วมกันตี แต่มีรากฐานมาจากความขัดแย้งภายในที่กำลังปะทุขึ้นเรื่อยๆ แม้แกนนำจะออกมาปฏิเสธแต่ก็จับสัญญาณได้ว่าสวนทางกับข้อเท็จจริง ไม่เช่นนั้นคงไม่มีคนมากมายออกมาแสดงความกังวลพร้อมเสนอแนะทางแก้ปัญหา จะยอมรับแล้วแก้ไข จะให้ความขัดแย้งนำไปสู่ความพังทลาย หรือใช้ความขัดแย้งพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้า คือสิ่งที่คนในพรรคเพื่อไทยต้องเลือกเอง

ไม่ว่าจะเป็นสำนวน “ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด

ไม่ว่าจะเป็นสำนวน “ไม่มีไฟไม่มีควัน”

ไม่ว่าจะเป็นสำนวน “ไม่มีมูลหมาไม่ขี้”

ล้วนใช้อธิบายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยได้เป็นอย่างดี

ทุกอย่างไม่ได้สวยงาม ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ได้เป็นปึกแผ่น อย่างที่พยายามสร้างภาพให้คนทั่วไปเข้าใจ เพราะในความเป็นจริงมีทั้งความขัดแย้งของตัวบุคคลและขัดแย้งกันทางความคิด ขัดแย้งกันซึ่งวิธีการ และขัดแย้งกันด้วยเป้าหมาย

แม้นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย จะออกมายืนยันว่าไร้ความขัดแย้งในพรรค และอธิบายด้วยคำสวยหรูว่าความเห็นเหมือนหรือเห็นต่างในพรรคเป็นเรื่องธรรมดาของระบอบประชาธิปไตย พร้อมยืนยันว่าจะอยู่กับพรรคจนนาทีสุดท้าย ยิ่งสะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงว่า “มีความเห็นแตกต่าง” (ความแตกแยก) เกิดขึ้นจริง เพียงแต่ยังไม่ปะทุออกมาภายนอก และยังสัมผัสไม่ได้ว่าระดับความเห็นต่างที่ว่านั้นรุนแรงเพียงใด

แต่หากจับแพะชนแกะไปผูกโยงกับข้อเขียนของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตคีย์แมนคนสำคัญตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย ที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวในหัวข้อ “สามัคคี วิจารณ์ สามัคคี” ก็ดูเหมือนว่าอดีตแกนนำคนสำคัญท่านนี้กำลังส่งสัญญาณเตือนไปถึงพี่ๆน้องๆในพรรคเพื่อไทยให้รู้จักแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง พร้อมเสนอแนะให้นำวิธีการ “ศึกษารวมหมู่” แบบในอดีตมาใช้แก้ความเห็นต่าง

หลักการของ “ศึกษารวมหมู่” คือการรับฟังคำวิจารณ์จากคนอื่นเพื่อนำมาพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งการวิจารณ์รวมหมู่ในกลุ่มช่วยสะท้อนจุดอ่อนที่เรามองไม่เห็นหรือคิดเอาเองว่าไม่เป็นปัญหา เมื่อรู้ปัญหาต้องยอมรับ ไม่แก้ตัว ตั้งใจพัฒนาตนให้ดีขึ้น เพื่อนมิตรที่วิจารณ์เราก็ให้กำลังใจและพร้อมสนับสนุน ด้วยต่างมีจุดหมายเดียวกันคือ เพื่อร่วมมือร่วมใจทำให้โลกนี้ดีขึ้น

“เริ่มต้นด้วยความสามัคคีวิจารณ์อย่างจริงใจด้วยมิตรภาพ รับฟังคำวิจารณ์ด้วยสติ ไม่ดื้อรั้น ไม่เข้าข้างตนเอง จบลงด้วยความสามัคคี ท่าทีต่อความขัดแย้งนั้นถือว่ามีความสำคัญ เพราะจะทำให้จบลงอย่างพังทลายก็ได้ จบลงอย่างพัฒนาก็ได้”

นพ.สุรพงษ์ย้ำด้วยว่า เมื่อโลกพัฒนามากขึ้นความขัดแย้งก็ไม่อาจจำกัดอยู่ภายในกลุ่มเล็กๆได้ แต่กลายเป็นประเด็นของสังคมกว้างขึ้น การปรับใช้ท่าทีต่อความขัดแย้งแบบดั้งเดิมอาจทำได้ยากขึ้น แต่ก็แอบหวังว่าคงไม่เกินความพยายาม

นี่คือสิ่งที่ นพ.สุรพงษ์ต้องการสื่อไปยังมิตรสหายในพรรคเพื่อไทยและคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย

หลังจาก นพ.สุรพงษ์เผยแพร่โพสต์นี้ ปรากฏว่ามีผู้สนับสนุนในฝ่ายเดียวกันทั้งคนในพรรคเพื่อไทยและกองเชียร์พากันแชร์ข้อความออกไปจำนวนมาก นั่นย่อมสะท้อนข้อเท็จจริง ความเป็นไป และความห่วงใยต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้

ขนาดคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามพรรคเพื่อไทยอย่างนายไทกร พลสุวรรณ อดีตแกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ที่ปัจจุบันแสดงตนยืนคนละฝั่งกับฝ่ายเผด็จการ ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ยังช่วยเสนอทางออกจากความขัดแย้ง โดยให้ดันนายจาตุรนต์ ฉายแสง ที่มีภาพลักษณ์โดดเด่นในการเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่เคยหลบ ไม่เคยแอบ ยามต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรค เพื่อก้าวผ่านความขัดแย้งก่อนลงสนามเลือกตั้ง

“ไม่มีไฟ ไม่มีควัน” จะยอมรับแล้วแก้ไข หรือจะเลือกปฏิเสธไม่รับความจริงกันต่อไป จะให้ความขัดแย้งนำไปสู่ความพังทลาย หรือใช้ความขัดแย้งพัฒนาให้เกิดความก้าวหน้าก็เลือกเอา


You must be logged in to post a comment Login