วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

มองทะลุ‘หม่อมอุ๋ย’

On December 26, 2018

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 26 ธ.ค. 61)

ในขณะที่บรรยากาศการเมืองเพิ่มดีกรีความร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พรรคพลังประชารัฐกำลังเสียอาการจากการกระทำของตัวเองในหลายเรื่อง กัปตันที่เล็งจะให้มาถือธงนำทัพชิงอำนาจรัฐกลับมาไว้ในมือก็ต้องเจอด่านหินเมื่อคนที่เคยร่วมในคณะรัฐมนตรีอย่าง “หม่อมอุ๋ย” ออกมาร่ายยาว 8 เหตุผลที่ไม่อยากให้ “ลุงฉุน” กลับมาเป็นนายกฯ แต่ละหมัดที่ปล่อยออกมาเนื้อๆเน้นๆ ต้องรอดูว่าฝ่ายหนุน “ลุงฉุน” จะหักแก้เหตุผลทั้ง 8 ข้ออย่างไร เมื่อแก้แล้วจะเข้าตากรรมการที่จะให้คะแนนในคูหาเลือกตั้งได้หรือไม่ ถือเป็นอีกหนึ่งด่านหินที่ต้องตีฝ่าหากอยากไปให้ถึงเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม มีคนชี้เป้าให้ดูว่านี่เป็นสัญญาณการถอดปลั๊กจากผู้มากบารมีที่ให้การสนับสนุนหรือไม่ เพราะเชื่อว่า 8 ข้อของ “หม่อมอุ๋ย” ลึกๆแล้วมีเหตุผลมากกว่านั้น

อยู่ๆก็เกิดเสียงฮือฮาจากคอการเมืองเมื่อ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ประธานสถาบันคึกฤทธิ์ ปราโมช และอดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. เผยแพร่บทความ “8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯอีก” ทั้งที่เคยร่วมงานอยู่ในคณะรัฐมนตรีด้วยกัน ทั้ง 8 ข้อมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้

1.ระยะเวลา 3 ปีหลังของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์” กระทำการที่ขาดวินัยทางการคลังอยู่ตลอดเวลา มีการขาดดุลงบประมาณจำนวนมาก เมื่อขาดดุลประจำปีเพิ่มอีกไม่ได้แล้วก็ใช้วิธีอนุมัติงบประมาณที่มีผลผูกพันไปในอนาคต จนถึงปีงบประมาณปัจจุบันมีการผูกพันงบประมาณไปในระยะ 5 ปีข้างหน้าถึง 1,178,275 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะการผูกพันงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่มีมากถึง 177,294 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ดูแล้วขาดวินัยการคลังอย่างน่าเกลียด

2.กลุ่มคนที่สนิทสนมกับ “พล.อ.ประยุทธ์” พยายามสอดไส้ตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติในการพิจารณาพระราชบัญญัติปิโตรเลียม วาระที่ 2 ของกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้งๆที่ในขั้นหลักการในวาระที่ 1 ไม่มีเรื่องนี้ ตนได้ทำหนังสือค้านชี้ให้เห็นข้อเสียไปยัง สนช. โชคดีที่เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย หาก “พล.อ.ประยุทธ์” กลับมาเป็นนายกฯอีก เรื่องนี้ก็อาจถูกผลักดันขึ้นมาอีก

3.การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่อิงแอบกับจีนมากเกินไปอาจสร้างปัญหาให้ไทยในอนาคต และการให้สิทธิคนต่างด้าวอาศัยและถือครองที่ดินตาม พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยไม่ได้กำหนดจำนวนสูงสุดไว้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

4.ในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา “พล.อ.ประยุทธ์” และ คสช. ได้กระทำการหลายอย่างเป็นประจำที่ทำให้คนไทยโดยทั่วไปเห็นว่าทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน จนสะสมความไม่พอใจในหมู่ประชาชนมากขึ้น หากปล่อยให้สะสมมากขึ้นต่อไปอาจจะเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองได้

5.ในระหว่าง 1 ปีที่ทำงานกับ “พล.อ.ประยุทธ์” ได้เห็นความสนิทสนมและใกล้ชิดกับนายทุนที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่บางราย ทำให้รู้ข้อมูลด้านการลงทุนที่ยังไม่เปิดเผยก่อนผู้อื่น และรู้แง่มุมการวางนโยบายที่เป็นเรื่องไม่พึงเปิดเผยด้วย นอกจากนี้ยังเคยให้ตนจัดให้กลุ่มธุรกิจกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ลงทุนและดำเนินการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หัวหิน โดยไม่ต้องมีการประมูล เคยให้จัดให้กรมธนารักษ์ให้เช่าที่ดินในเขตทหารบริเวณกาญจนบุรีให้เอกชนรายหนึ่งโดยคิดค่าเช่าในราคาถูก ซึ่งเป็นเรื่องไม่เหมาะสม

6.“พล.อ.ประยุทธ์” เป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง พอมีคนคัดค้านก็มักจะสั่งให้ถอยเพราะกลัวเสียคะแนนนิยม แม้เสียงคัดค้านจะไม่มีเหตุผลรองรับก็ตาม เช่น โครงการสร้างโรงไฟฟ้าผลิตจากถ่านหินเพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนภาคใต้ ความที่ไม่กล้าตัดสินใจทำให้งานต่างๆที่เตรียมไว้เดินหน้าได้ยาก การปฏิรูปก็จะไม่เกิดขึ้น

7.ในปีหน้าประเทศไทยจะเป็นประธานการประชุมอาเซียนตลอดทั้งปี หาก “พล.อ.ประยุทธ์” กลับมาเป็นนายกฯ มีความเสี่ยงที่คนไทยจะต้องอับอายขายหน้าประเทศสมาชิกเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนเป็นประธานการประชุมประเทศกำลังพัฒนา G-77 ของสหประชาชาติที่สิงคโปร์

8.ในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา การพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว และบางครั้งใช้คำหยาบคายที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะออกมาจากปากของคนที่เป็นนายกฯ อาจกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับเยาวชน

นี่คือ 8 เหตุผลที่ “หม่อมอุ๋ย” ไม่ต้องการให้ “พล.อ.ประยุทธ์” กลับมาเป็นนายกฯฉบับย่อ ฉบับเต็มหาอ่านได้ตามสื่อทั่วไป ซึ่งอาจถูกใจและไม่ถูกใจคนที่ได้รับสารนี้ก็ถือเป็นเรื่องปรกติ การชี้แจงจากผู้ที่ถูกพาดพิงคงมีตามออกมา เมื่อรับสารจาก 2 ฝ่ายแล้วลองวัดน้ำหนักดูว่าเหตุผลฝ่ายไหนน่าเชื่อถือมากกว่ากัน จากนั้นเอาไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้

อย่างไรก็ตาม มีเซียนการเมืองบางคนคิดไปไกลกว่านั้น โดยชี้เป้าให้มองทะลุไปถึงคนที่อยู่ข้างหลัง “หม่อมอุ๋ย” เพราะเชื่อว่าครั้งนี้ไม่ได้กระทำโดยส่วนตัว แต่ทำตามใบสั่งของผู้มากบารมีที่เกรงว่าท่านผู้นำคนปัจจุบันจะเป็นตัวจุดชนวนปัญหารอบใหม่จึงต้องการเปลี่ยนแผนเรียกตั๋วคืนไม่ให้ไปต่อ โดยก่อนหน้านี้ส่งลิ่วล้อออกมาโยนหินถามทางเรื่องรัฐบาลพิเศษหลังเลือกตั้งมาแล้ว พร้อมแนะให้นั่งเฝ้าหน้าจอรอดูอย่ากะพริบตา เพราะเชื่อว่าจะมีการส่งสัญญาณออกมาอีกเรื่อยๆ


You must be logged in to post a comment Login