วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

บัดสีบัดเถลิง!

On December 27, 2018

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 28 ธันวาคม 2561-4 มกราคม 2562)

ปรากฏการณ์ “คลิปปล่อย” ที่ปรากฏภาพของ “โบว์” ณัฏฐา มหัทธนา กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง และนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย พุ่งตรงไปที่ฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการทำลายพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น “ปฏิบัติการด้านการข่าว” หรือ “IO” ของเจ้าหน้าที่รัฐหรือไม่ก็ตาม ความคาดหวังที่มุ่งจะทำลายภาพของฝ่ายที่ยึดถืออุดมการณ์การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยวิธีสกปรกได้กลายเป็นบูเมอแรงกระแทกกลับไปยังผู้ปล่อยคลิปและ “ไอ้โม่ง” ผู้อยู่เบื้องหลัง เพราะผู้คนในสังคมไทยวันนี้เริ่มมีวุฒิภาวะและตั้งสติได้บ้าง ยกเว้นแค่เพียงบางสื่อบางค่ายและกลุ่มที่อิงแอบแนบชิดผลประโยชน์อนุรักษ์นิยมที่ไม่เคยลืมหูลืมตา สุดท้ายการดำเนินคดีตามกฎหมายย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถามที่ตามมาคือ ทำไมจึงมีการปล่อยคลิปช่วงเวลานี้ ซึ่ง “โบว์” เปิดเผยว่า คลิปนี้น่าจะถูกแอบถ่ายไว้นานมากแล้ว เพราะในภาพสะพายกระเป๋าซึ่งเป็นใบที่ไม่ได้ใช้นานแล้ว คลิปที่ถูกนำออกมาเผยแพร่เป็นช่วงจังหวะเดียวกับการเมืองกำลังร้อนระอุกับข่าว “โต๊ะจีนมหาเศรษฐี 650 ล้านบาท” ซึ่งแกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกมาปฏิเสธหัวชนฝา “ไม่มีการซื้อโต๊ะจากหน่วยงานรัฐ”

พรรคพลังประชารัฐภายใต้การนำของนายอุตตม สาวนายน กลายเป็น “หมู่บ้านกระสุนตก” ไม่ใช่แค่ถูกจับผิดเป็นพิเศษหลังปมจัดงานระดมทุน “โต๊ะจีนมหาเศรษฐี” ที่ไม่จบง่าย แถมยังถูกกระหน่ำซ้ำกับ “ว่าที่ผู้สมัคร พปชร.” ที่ยโสธรไปเปิดโต๊ะเปิดหน้าอ้าซ่าให้ถูกถ่ายคลิปแชร์ว่อนโซเชียล “ขายพ่วง” เหมือนเหล้าเบียร์ ชาวบ้านจะสมัคร “บัตรคนจน” ต้องสมัครสมาชิกพรรคด้วย

3 ปรากฏการณ์ที่ประดังเข้ามาไล่เลี่ยกันกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองที่โวยกันสนั่นลั่นเมือง เพราะชี้ให้เห็นการโกงและเอาเปรียบกันทุกวิธีภายใต้ “ระบอบพิสดาร” ที่สะท้อนคำว่า “ไม่ฟรีและไม่แฟร์” และท้าทายการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ต้องทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม

ไม่มีสิทธิสิ้นหวัง

“โบว์” โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ค Bow Nuttaa Mahattana (23 ธันวาคม) หลังคลิปถูกเผยแพร่ว่า..หลายคนบอกว่า “รู้สึกสิ้นหวังกับประเทศนี้” เมื่อเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา โบว์คิดว่า “ถ้าโบว์ไม่สิ้นหวัง คุณไม่มีสิทธิสิ้นหวังนะ” เราทุกคนเปลี่ยนมันได้ค่ะ

“โบว์” ให้สัมภาษณ์รายการ Wake Up News ทางวอยซ์ ทีวี (24 ธันวาคม) ถึงความสัมพันธ์กับนายวัฒนา ซึ่งคบหาดูใจไม่เคยปิดบัง ก่อนหน้านี้ก็ถูกติดตามตลอด คิดว่าอย่างมากก็แค่ถูกแอบถ่ายรูปตอนนั่งกินข้าว ไม่คิดว่าจะมีการใช้วิธีสกปรกขนาดนี้ มันเหนือจินตนาการมาก คลิปดังกล่าวน่าจะถ่ายไว้เมื่อ 5 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่พรรคเพื่อไทยกำลังประชุมใหญ่ และมีเรื่องข่าวโต๊ะจีนของพรรคการเมืองหนึ่ง ข่าวทนายวันชัย สอนศิริ พูดเรื่อง ส.ว. และผลโพลของสันติบาลออกมาระบุว่าคะแนนนิยมของพรรคชื่อคล้ายนโยบายรัฐบาลต่ำมาก จึงมีการปล่อยคลิปออกมา เชื่อว่าคนที่ถ่ายคลิปไว้คงมีสต็อกอยู่พอสมควร

“โบว์” กล่าวว่า ตอนแรกจะไม่ฟ้อง เพราะคิดว่าคงทำอะไรไม่ได้ แต่ตอนตัดสินใจฟ้องใช้เวลาเพียงแค่ 1 นาที เพราะได้รับข้อมูลจากองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลกแนะนำว่า ถ้าฟ้องจะเอากรณีนี้ไปเคลื่อนไหวต่อได้ ถึงแม้จะไม่ได้ตัวผู้บงการหรือคว้าน้ำเหลวก็ตาม แต่ก็มีประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นกรณีศึกษาการละเมิดสิทธินักเคลื่อนไหว ซึ่งมีประโยชน์ต่อสาธารณะ

ฟ้อง 2 สำนักข่าว

ล่าสุด “โบว์” ได้โพสต์เฟซบุ๊ค (25 ธันวาคม) หลังจากไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับคนเผยแพร่คลิปว่า ถ้าเป็นดารา นักการเมืองถูกบิดเบือน ก็มักทนนิ่งให้มันผ่านไปเพื่อลดแรงปะทะ แต่โบว์คือนักเคลื่อนไหว เราอยู่กับการปะทะเพื่อเปลี่ยนผิดเป็นถูก อะไรที่เกินไปและแพร่หลายเสียหายมาก ถ้าสำนักข่าวไม่แสดงความรับผิดชอบ เขียนข่าวบิดเบือนอีกหลายสำนักข่าว โดยประเด็นสาเหตุการตัดสินใจฟ้อง เช่น ไทยโพสต์ไม่ถอดเทป แต่ตั้งใจบิดคำพูดไปมา หลายประเด็นสร้างความเข้าใจผิด แล้วก็ลอกข่าวกันไป

TNN อาจจะไม่ตั้งใจบิดเบือน แต่การตีความตื้นๆตามใจแล้วคนเซฟไปแชร์ต่อมันเสียหายกับเรามาก เมื่อทักท้วงและขอให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการแชร์บทสัมภาษณ์จริงแทน กลับใช้วิธีลบภาพไปเฉยๆ

“เราไม่ต้องการโจมตีสำนักข่าวใดโดยเฉพาะ แต่โบว์เป็นห่วงจริงๆกับมาตรฐานการทำงานของสื่อในภาพรวม จะเกลียดโบว์ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้ลองนำสิ่งที่เราพูดไปคิดดูนะคะ อย่าพาทั้งสังคมดิ่งลงไปมากกว่านี้เลย”

ขณะที่ผู้ดำเนินรายการทีวีของสื่อดังแห่งหนึ่งชื่อ “ธีระ” ได้พูดเหน็บแนมพร้อมเปิดคลิปที่ถูกเบลอหน้าทำนองว่าไม่น่าจะต้องเซ็นเซอร์

ประชาชนตาสว่าง

นายวัฒนาโพสต์เฟซบุ๊ค Watana Muangsook (24 ธันวาคม) ว่า หลักฐานการใช้โลโก้ของพรรคเพื่อไทยแปะไว้ที่คลิปทุกคลิป เจตนาของคนทำคือต้องการทำลายผมและพรรคเพื่อไทยที่มีจุดยืนอยู่ตรงข้ามกับเผด็จการ ส่วนคนทำเป็นใครลองอ่านความเห็นตามโพสต์ของคุณโอ๊ค พานทองแท้

เผด็จการคงคิดว่าเรื่องสกปรกที่ทำขึ้นคงทำให้ผมถอย หรือคงจะทำลายผมและพรรคเพื่อไทยที่เป็นเป้าหมายได้ แต่กลายเป็นทำให้ประชาชนตาสว่างมากขึ้น เพราะนอกจากจะได้เห็นถึงการไร้ความสามารถในการบริหาร ทำให้คนไทยต้องยากลำบากทั่วหน้าแล้ว เรายังได้เห็นเรื่องสกปรกที่คนพวกนี้กล้าทำ ตั้งแต่การโกงอำนาจ การใช้อำนาจตามอำเภอใจ การโกงการเลือกตั้งเพื่อสืบทอดอำนาจ ล่าสุดคือการใช้วิธีสกปรกที่สุดที่มนุษย์ไม่ทำกันคือ การแอบถ่ายคลิปในที่ลับเอามาประจาน ผมจะไม่เสียเวลากับเรื่องสกปรกที่ถูกกระทำมาเปลืองพื้นที่ของประชาชนอีก ส่วนการฟ้องเจ้าของโรงแรมและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องทำแน่ แต่จะมอบหมายให้ทนายดำเนินการ

นักสืบธรรมดาทำไม่ได้

“โอ๊ค” พานทองแท้ ชินวัตร โพสต์เรื่องคลิปหลุด (22 ธันวาคม) ว่า

ฉิบหายแล้ว..คลิปหลุด คือคำอุทานแรกของผมเมื่อได้ทราบเรื่องนี้ครับ แต่เมื่อได้เห็นคลิปจากเว็บไซต์ข่าวต่างๆ และได้สอบถามข้อมูลมาพอสมควร บอกได้เลยว่าเรื่องนี้ “ไม่ใช่คลิปหลุดนักการเมืองกับนักกิจกรรม” แบบที่ผู้ประสงค์ร้ายพยายามจะให้เป็น เพราะเรื่องมันใหญ่กว่านั้นเยอะ

ถ้าเป็นคลิปหลุดทั่วไปจะไม่มีการตามสะกดรอยถ่ายตั้งแต่ร้านอาหาร ลานจอดรถ ไปจนถึงตั้งกล้องรอในห้องของโรงแรม แถมด้วยพนักงานเช็กอินจัดให้เข้าห้องตรงกับที่ตั้งกล้องเอาไว้อีก จะมีสักกี่หน่วยงานที่มีขีดความสามารถทำได้ขนาดนั้น ซึ่งไม่มีใครล่วงรู้ว่าเป้าหมายจะไปที่แห่งใด เนื่องจากเป็นการพูดคุยนัดหมายกันทางโทรศัพท์และพิมพ์แชตส่งกันในมือถือ ซึ่งรู้กันเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น ผู้กระทำการเตรียมการถูกจุดเป๊ะๆได้อย่างไร

จุดประสงค์การกระทำครั้งนี้ นอกจากตั้งใจจะรังแกผู้หญิงคนหนึ่งให้อับอายและเลิกออกมาเคลื่อนไหวในสิ่งที่ใครบางคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น แถมด้วยการทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายชายซึ่งอยู่ในพรรคการเมืองซีกประชาธิปไตยที่ไม่เอาเผด็จการ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยโดนชายผมเกรียนขับรถตามและดักทำร้ายร่างกายขณะกำลังเดินออกจากสนามฟุตบอลมาแล้ว

คำถามที่ประชาชนอย่างพวกเราควรได้รับคำตอบก็คือ เรื่องที่เป็นความลับส่วนบุคคล ความเชื่อมั่นว่าข้อมูลข่าวสารที่เราส่งถึงกันไม่รั่วไหล ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวในอาคารสถานที่ต่างๆในประเทศไทย ยังมีความปลอดภัยได้มาตรฐานอยู่หรือไม่

และที่สำคัญ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆที่ใช้ในการสอดแนม ดักฟัง ล้วงความลับ อ่านแชตของชาวบ้าน ล้วงข้อมูลในมือถือ ซึ่งในรัฐบาลก่อนๆเคยเป็นของผิดกฎหมาย เดี๋ยวนี้มันถูกกฎหมายแล้วหรือ? มีใช้ในประเทศเราแล้วหรือยัง? ประชาชนมีสิทธิ์จะถามไหม? และใครควรจะเป็น “คนตอบ” ดีครับ?

เกิดอะไรขึ้นก็บอกทหารทำ

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกและเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าว (21 ธันวาคม) ถึงการเผยแพร่คลิปและมีการโยงถึงการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของ คสช. เพื่อสาดโคลนการเมืองว่า ยังไม่เห็น แม้ทหารอยู่เฉยๆ พอเกิดอะไรขึ้นก็บอกว่าทหารทำ เพราะไม่มีใครแล้ว เนื่องจากรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลทหาร คนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลทหารก็ต้องบอกว่าเป็นทหาร ตนไม่เข้าใจว่าเวลาทหารหรือรัฐบาลถูกฝ่ายตรงข้ามสาดโคลนในลักษณะที่เกิดขึ้นเป็นใครที่ทำ

นอกจากนี้ พล.อ.อภิรัชต์ยังชี้แจงผ่านสำนักข่าวลับลวงพรางแชนแนลว่า 1.กองทัพบกเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคง มีความเป็นมืออาชีพ ไม่เคยใช้คนหรือเครื่องมือนอกเหนืองานด้านความมั่นคงและผิดจรรยาบรรณโดยเด็ดขาด 2.คำว่า IO หรือ Information Operation หรือการต่อต้านงานด้านการข่าวและการต่อต้านการข่าวกรองทางทหาร จะปฏิบัติต่อกลุ่มคนหรือองค์กรที่ต่อต้านระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกลุ่มที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติเท่านั้น

3.ทบ. เข้าใจและเห็นใจต่อผู้เสียหายจากการใช้โซเชียลมีเดียทุกคน และขอให้สังคมให้ความเป็นธรรมและใช้วิจารณญาณกับสิ่งที่เกิดขึ้น 4.ปรากฏการณ์ใส่ร้ายป้ายสีก่อนการเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ไม่ปรกติของสังคมไทยมาทุกยุคสมัย และ 5.ทบ. ได้มีประสบการณ์ในวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นมาทุกสมัย และทุกครั้งที่เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ทบ. มักจะถูกเป็นจำเลยของสังคม โดยที่กลุ่มเห็นต่างมิได้มองถึงสาเหตุหรือต้นเหตุแห่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้น

พล.อ.อภิรัชต์ยังยกวาจาของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ว่า “รัฐธรรมนูญไม่ใช่ปัญหา คณะปฏิวัติเป็นเพียงปลายเหตุ คนโกงต่างหากคือต้นเหตุ”

บัตรคนจนพ่วงสมัครสมาชิกพรรค

ประเด็นการปล่อย “คลิป” ยิ่งทำให้การเมืองร้อนระอุ เพราะไม่ได้กลบข่าว “โต๊ะจีนมหาเศรษฐี 650 ล้านบาท” ที่กำลังสั่นคลอนพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น แต่ยังปรากฏคลิปการเมืองน้ำเน่าที่ “ว่าที่ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐจังหวัดยโสธร” ให้ชาวบ้านที่ต้องการทำ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หรือ “บัตรคนจน” ต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งล่าสุด .ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ได้ให้มีการสืบสวนสอบสวนแล้ว โดยจะใช้เวลา 30-60 วัน สรุปข้อเท็จจริงว่าเป็นความผิดตามข้อกฎหมายใด

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. บอกว่า เจ้าหน้าที่ได้ออกมารับผิดและชี้แจงแล้วว่าเป็นความไม่เข้าใจและเข้าใจผิด ซึ่งตรงข้ามกับนายเกียรติบุรุษ พันธ์เลิศ ผู้ถ่ายคลิปและโพสต์ในโซเชียลที่เล่าว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา นางนาง บุญศิริ อายุ 71 ปี ญาติห่างๆ เดินผ่านมาหน้าบ้าน ถามว่าไปไหนมา นางนางตอบว่าเพิ่งกลับจากไปทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เจ้าหน้าที่มาเปิดรับทำอยู่ที่บริเวณวัด แต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคก่อนถึงจะสามารถทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐได้

นายเกียรติบุรุษเห็นว่าไม่ถูกต้องและเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงนำโทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวิดีโอไว้พร้อมกับโพสต์ลงในเฟซบุ๊ค จนกระทั่งมีคนเข้าไปแชร์และติดตามดูเป็นจำนวนมาก ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเลิงนกทาได้มาเชิญไปสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น และสอบถามว่าเหตุที่โพสต์คลิปต้องการอะไร มีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่ หรือมีนักการเมืองให้การสนับสนุนหรือไม่ ซึ่งได้บอกว่าเป็นประชาชนคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด แต่ที่ทำเพราะเห็นว่าการกระทำดังกล่าวไม่ถูกต้องและผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ปล่อยตัวกลับบ้าน

ส่วนนางนางได้โชว์เอกสาร 2 แผ่นให้ผู้สื่อข่าวดู เป็นใบสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐกับเอกสารลงทะเบียนโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะตนเป็นผู้ตกหล่นจากการทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบที่ผ่านมาจึงได้ไปทำ โดยก่อนหน้านี้มีเพื่อนบ้านนำเอกสารมาให้กรอกจำนวน 2 แผ่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเอกสารอะไร เพราะสายตาไม่ค่อยดีและเขียนหนังสือไม่ได้ จึงให้เพื่อนบ้านเป็นคนกรอกข้อมูลให้

คลิปตอกย้ำพ่วงบัตรคนจน

นอกจากนี้ผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “จูเนียร์ผู้ที่เป็นชาวไซยา ถล่มดาวเบจิต้าและไปดาวนาเม็ก” โพสต์วิดีโอขณะเข้าไปต่อว่าจุดเก็บตกรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยระบุว่า “พิกิฏ ศรีชนะ” ผู้แทนสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ มาด้วย แถมยังมีการโฆษณาชวนให้มาลงทะเบียนสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐพร้อมสนับสนุนพรรค ถ้าใครไม่ลงทะเบียนพรรคจะไม่ได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ส่วนคนที่ลงทะเบียนสนับสนุนพรรคจะได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนที่ลงทะเบียนพรรคต้องแปะโป้ง ใส่รูป ยื่นสำเนาบัตรประชาชน พร้อมสำเนาทะเบียนบ้าน

ล่าสุดนายพิกิฏ ศรีชนะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ยโสธร เขต 1 กล่าวว่า วันนั้นได้ลงพื้นที่เพื่อพบปะชาวบ้านเพื่อพูดเรื่องนโยบายที่ตนมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางไปทุกที่และทุกตำบลเพื่อสอบถามว่าชาวบ้านมีปัญหาอะไรเพื่อรวบรวมมาเป็นนโยบายของพรรค ไม่ได้กระทำตามที่คลิปได้กล่าวอ้าง และไม่ใช่หน้าที่ที่ตนต้องทำ

นายพิกิฏยังกล่าวถึงกรณีมีใบสมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐและมีใบแบบฟอร์มลงทะเบียนโครงการสวัสดิการแห่งรัฐว่า เรื่องใบสมัครสมาชิกพรรคทีมงานตนนําไปให้ประชาชนที่สนใจจะสมัคร อยากร่วมอุดมการณ์กับพรรค ให้แสดงความจํานงไว้ ยังไม่ใช่เป็นการสมัคร ซึ่งการเป็นสมาชิกพรรคต้องเซ็นชื่อและพิมพ์ลายนิ้วมือ และจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อพรรคพลังประชารัฐเป็นคนแจ้งศูนย์ให้เปิดรับสมัครสมาชิกพรรคพร้อมทั้งเสียเงินค่าสมัคร ในส่วนของใบแบบฟอร์มลงทะเบียนโครงการสวัสดิการแห่งรัฐตนไม่ทราบ เพราะไม่ใช่หน้าที่ตน เป็นเรื่องของรัฐบาล และต้องไปถามนายอําเภอว่าเรื่องราวดังกล่าวเป็นมาอย่างไร ขอยืนยันว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแจ้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ปริศนาโต๊ะจีน 650 ล้าน

ส่วนกรณี “โต๊ะจีน 650 ล้านบาท” นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ที่รับผิดชอบจัดงาน ยืนยันว่า การตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบชื่อของหน่วยงานรัฐร่วมบริจาคระดมทุน แต่หากพบพร้อมคืนเงินบริจาคให้ ส่วนตัวย่อ ททท. กทม. ในผังโต๊ะจีนที่ปรากฏตามสื่อไม่ใช่เอกสารของพรรค ซึ่งสำนักข่าวอิศราก็ยืนยันจากการตรวจสอบว่า ปรากฏชื่อที่คล้ายหน่วยงานรัฐ 3 แห่งในผัง 33 โต๊ะ บริจาครวม 99 ล้านบาท

ขณะที่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่า ทำด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ การดำเนินการเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญเพื่อหาเงินมาดำเนินการด้านต่างๆ หลังจากนี้จะยื่นผลการระดมทุนพรรคต่อ กกต. ส่วนข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐมาร่วมงานนั้น ถ้ามีถือเป็นสิทธิตามกฎหมาย ไม่ถือว่าผิดกฎหมายแต่อย่างใด เพราะมีสิทธิทางการเมืองเช่นเดียวกัน เพียงแต่มีข้อจำกัดคือไม่สามารถใช้ตำแหน่งหน้าที่มาร่วมระดมทุนได้ ไม่อยากให้พรรคการเมืองต่างๆใช้วาทกรรมเพื่อสร้างความขัดแย้งในช่วงใกล้เลือกตั้ง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ประเด็นอยู่ที่การจัดงานเลี้ยงของพรรคการเมืองมีการใช้กลไกทรัพยากรรัฐไปเอื้อประโยชน์ในการจัดงานระดมทุนหรือไม่ สังคมต้องการคำตอบ ผู้ให้คำตอบได้ดีที่สุดคือ กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง รวมถึงหน่วยงานรัฐที่มีชื่อถูกพาดพิงต้องชี้แจงให้ชัดเจนต่อสังคม เชื่อว่าทุกพรรคการเมืองต้องการทราบแนววินิจฉัยของ กกต. ถ้า กกต. ให้คำวินิจฉัยต่อสาธารณะครั้งนี้อย่างชัดเจน เป็นที่ยอมรับ จะช่วยให้ กกต. ได้รับความเชื่อถือ มั่นใจจากประชาชนมากขึ้น

ผิดถึงขั้นตัดสิทธิ 5 ปีแต่ไม่ถึงขั้นยุบพรรค?

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มาตรา 73 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ระบุไว้ว่า ห้ามมิให้ข้าราชการการเมืองใช้สถานะหรือตำแหน่งหน้าที่เรี่ยไรหรือชักชวนให้มีการบริจาคให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่การจัดงานระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐมีข้าราชการการเมืองที่เกี่ยวข้อง 4 รายการดังนี้

กรณีแรก เป็นโต๊ะจีนในนามนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท ต้องตรวจสอบว่าได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปเรี่ยไรหรือไม่ หรือหากตัวรัฐมนตรีเป็นผู้บริจาคเอง ตามกฎหมายระบุว่าจะบริจาคให้พรรคการเมืองได้ไม่เกิน 10 ล้านบาท ดังนั้น อีก 2 ล้านบาทเป็นเงินที่ได้มาจากไหน ต้องมีการตรวจสอบ

กรณีที่สอง เป็นโต๊ะจีนของนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค จำนวน 1 โต๊ะ 3 ล้านบาท กรณีนี้ตรวจสอบไม่ยาก เพราะหากนายอุตตมเป็นผู้บริจาคเองก็จบ แต่หากเงิน 3 ล้านบาทไปเรี่ยไรจากคนอื่น ก็จะผิดในฐานะใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไปเรี่ยไรเงิน

กรณีที่สาม นายณพพงศ์ ธีระวร หรือ ดร.เอก ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มีความลึกลับซับซ้อน เพราะมีการบริจาคจำนวนเงินที่สูงมากที่สุด ระบุว่าจองโต๊ะถึง 24 โต๊ะ 72 ล้านบาท หาก ดร.เอกเป็นที่ปรึกษาของ 2 รัฐมนตรีจริง และจ่ายเงินของตนเองจริง ต้องไม่เกิน 10 ล้านบาท จึงเป็นภาระที่ต้องพิสูจน์ว่าเกิดจากการเรี่ยไรหรือไม่ ในทางนิตินัยพบว่า ดร.เอกเป็นที่ปรึกษาจากการแต่งตั้งพิเศษของรัฐมนตรีพาณิชย์ ไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ถือเป็นที่รับรู้ของสังคม เพราะมีการให้เครดิตตัวเองบนเฟซบุ๊คส่วนตัวว่าเป็นที่ปรึกษา ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นที่ปรึกษาโดยตำแหน่ง ซึ่งมาตรา 73 ไม่ครอบคลุมถึง จึงไม่เข้าข่ายข้าราชการการเมือง เอาผิดไม่ได้ แต่อยากชี้ให้สังคมเห็นว่ามีการใช้ช่องว่างทางกฎหมายเพื่อทำหน้าที่หาเงินเข้าพรรค รัฐมนตรีที่มีคำสั่งแต่งตั้ง ดร.เอกต้องรู้จักละอายและรับผิดชอบในเรื่องนี้ และกรรมการบริหารพรรคในฐานะที่เป็นองค์รวมของกิจกรรมนี้ต้องไปตรวจสอบว่ามีใครชักชวนให้มาร่วมบริจาคหรือไม่

กรณีที่สี่คือ กรรมการบริหารพรรค 3 โต๊ะ 9 ล้านบาท ซึ่งมี 7 คนใน 26 คนที่เป็นข้าราชการการเมือง ต้องไปตรวจสอบว่าทั้ง 7 คนใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปชักชวนเรี่ยไรหรือไม่ ตนถือว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบในฐานะกรรมการบริหารพรรคด้วย ต้องดูตามกฎหมายว่าจะพาดพิงถึงกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ ซึ่งในมาตรา 27 กำหนดโทษไว้ชัดว่า ใครทำผิดมาตรา 73 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สี่หมื่นถึงสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี

นายสมชัยระบุว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และท้าทาย กกต. ว่าจะจัดการอย่างไร เพราะเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง แม้จะมีผู้บริหารของ กกต. บางคนพูดว่าระหว่างที่ยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง พรรคการเมืองจะทำอะไรก็ได้นั้น ขอให้กลับไปดูกฎหมายใหม่ เพราะในกฎหมาย กกต. มาตรา 22 วรรครองสุดท้าย ระบุไว้ชัดเจนว่า ในการควบคุม กำกับ ดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้ถือเป็นหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการที่จะดำเนินการสอดส่อง สืบสวน หรือไต่สวน เพื่อป้องกันและขจัดการกระทำหรืองดเว้นการกระทำอันใดที่อาจก่อให้เกิดความไม่สุจริตหรือไม่เที่ยงธรรมในการเลือกตั้งได้ ไม่ว่าจะเป็นเวลาในระหว่างประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งหรือไม่ก็ตาม มาตรานี้เป็นไม้เด็ดของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่ให้อำนาจ กกต. ไว้

อย่างไรก็ตาม การจัดระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐยังไม่เข้าข่ายถูกยุบพรรค เพราะกฎหมายมุ่งไปที่ตัวบุคคล ถ้าตัวบุคคลมีความผิดก็ถึงขั้นถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี

ยื่น กกต. สอบ “อุตตม”ขาดคุณสมบัติหัวหน้าพรรค

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ ได้ยื่นเรื่องให้กับ กกต. ตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นหัวหน้าพรรคของนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โดยอ้างข้อมูลที่นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการบริหารพรรค ยอมรับว่านายอุตตมไม่ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและสมาชิกพรรคในวันที่พรรคพลังประชารัฐมีการประชุมใหญ่และเลือกนายอุตตมเป็นหัวหน้าพรรค จึงถือว่านายอุตตมเป็นคนนอกที่มารับตำแหน่ง ถือเป็นคนนอกตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่ห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกพรรคการเมืองเข้ามาครอบงำ ชี้นำ ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรค

“นายสุรพรอาจจะรีบออกมาโต้เร็วเกินไป เราก็แสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป ที่บอกว่า 13 ต.ค. ผมก็แก้ว่าเป็น 13 พ.ย. ส่วนที่บอกว่าเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่ เพราะเป็นกฎหมายพรรคการเมืองและระเบียบ กกต. ปี 60 รวมถึงแบบแนบท้ายระเบียบ ขอให้กลับไปดู พ.ก.3 และ พ.ก.4 ซึ่งท่านต้องเซ็นชื่อว่าได้รับเลือกเป็นกรรมการบริหารพรรค และต้องยืนยันความเป็นสมาชิกตามมาตรา 16 ซึ่งคำสั่ง คสช. ก็ไม่ใช่ เพราะคำสั่งที่ 53 อนุญาตให้พรรคการเมืองจัดตั้งใหม่หาสมาชิกได้เลย ส่วนพรรคเก่าให้แค่ยืนยันสมาชิกและจ่ายค่าบำรุงพรรคภายใน 30 วัน มิเช่นนั้นจะถือว่าหมดสิทธิการเป็นสมาชิกในพรรค ไปย้อนดูได้เลยคำสั่ง คสช. มีเจตนารมณ์ชัดเจน”

“หม่อมอุ๋ย” ทิ้งบอมบ์ “ลุงฉุน” ไม่ควรเป็นนายกฯ

ขณะที่กระแสการเมืองยังตอบโต้กันไปมา แม้พรรคพลังประชารัฐจะตกเป็นเป้าใหญ่ที่ถูกโจมตีในหลายเรื่อง แต่ก็วนอยู่กับประเด็นเดิมๆ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา .ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทหาร เขียนบทความร่ายยาว “8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีก” โดยเกริ่นนำว่า

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไปในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ มีการตั้งพรรคพลังประชารัฐขึ้นมาเพื่อปูทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้สืบทอดอำนาจต่อไป ซึ่งเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็กระทำการที่ไม่สง่างามเท่าใดนัก กล่าวคือ ในระยะแรกใช้อำนาจทางกฎหมายที่มีอยู่ห้ามพรรคการเมืองอื่นหาเสียงกับประชาชน แต่ใช้การประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นที่แฝงตัวในการหาเสียงทั่วประเทศ และอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมให้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างคะแนนนิยมทุกท้องถิ่นที่คณะรัฐมนตรีออกไปประชุมในจังหวัดต่างๆ เป็นการหาเสียงก่อนพรรคการเมืองอื่นเป็นเวลาหลายเดือน

นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้รัฐมนตรีในสังกัดที่เป็นผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่แฝงตัวในการหาเสียงก่อนพรรคการเมืองอื่นอีกด้วย เป็นการสร้างสภาวการณ์ที่ได้เปรียบคู่ต่อสู้อยู่ตลอดเวลา

และที่น่าเกลียดมากคือ การใช้งบประมาณแผ่นดินในการสร้างคะแนนนิยมให้แก่ตนเองและพรรคการเมืองฝ่ายตน ดังที่ประกาศเป็นโครงการแจกเงินหลายประเภทในช่วงเดือนธันวาคม 2561 ก่อนเริ่มหาเสียงเพียง 1 สัปดาห์ และในช่วงเดือนธันวาคม 2561 ถึงกันยายน 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับการหาเสียง การลงคะแนนเสียง และการตั้งรัฐบาล โดยไม่รู้สึกละอายว่านำเงินของประชาชนไปใช้หาเสียง อีกทั้งยังปฏิเสธอย่างหน้าไม่อายว่าโครงการนั้นไม่ใช่โครงการประชานิยม เป็นลักษณะของคนที่ต้องการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่าได้เปรียบคู่ต่อสู้มากแล้วจึงจะกล้าลงไปต่อสู้กับคู่ต่อสู้ ไม่น่าจะเป็นชายชาติทหารได้เลย

ผมเห็นการกระทำที่เอาเปรียบคู่ต่อสู้อย่างไม่ละอายเช่นนี้แล้วก็ต้องการที่จะลดความได้เปรียบของฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ลงเพื่อให้มีการแข่งขันในการหาเสียงที่เป็นธรรมขึ้น จึงตัดสินใจเขียนบทความนี้เพื่อให้เห็นถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติหาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ผมมี 8 เหตุผลที่ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีก

หนี้สินพุ่ง ฐานะการคลังอ่อนแอ

1.ในระยะเวลา 3 ปีหลังของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ รัฐบาลกระทำการที่ขาดวินัยทางการคลังอยู่ตลอดเวลา งบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ ขาดดุลเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อขาดดุลประจำปีเพิ่มอีกไม่ได้แล้วก็ใช้วิธีอนุมัติงบประมาณที่มีผลผูกพันไปในอนาคต เท่ากับนำเงินรายได้ในอนาคตมารองรับโครงการจ่ายเงินที่อนุมัติในวันนี้ จนถึงปีงบประมาณปัจจุบันมีการผูกพันงบประมาณไปในระยะ 5 ปีข้างหน้าถึง 1,178,275 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ งบผูกพันที่สูงที่สุดเป็นของกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมของประเทศที่ต้องใช้เวลาในการก่อสร้างหลายปี จึงต้องตั้งเป็นงบผูกพันไว้ ก็เป็นที่ยอมรับได้

แต่งบผูกพันที่สูงเป็นอันดับสองเป็นของกระทรวงกลาโหม จำนวนสูงถึง 177,294 ล้านบาท (ในขณะที่งบประจำปีเป็นเพียง 227,000 ล้านบาท) เป็นเรื่องที่ดูแล้วขาดวินัยการคลังอย่างน่าเกลียด นอกจากการสร้างเรือดำน้ำซึ่งต้องใช้เวลาหลายปี (ประมาณ 30,000 ล้านบาทเศษ) และยานยนต์บางประเภทแล้ว อาวุธต่างๆไม่ได้ใช้เวลานานในการสร้าง ไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นงบผูกพันแต่อย่างใด สามารถรอตั้งเป็นงบประจำปีได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะที่การคลังขาดดุลต่อเนื่องมานับสิบปีแล้ว จำเป็นที่เราจะต้องประหยัดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และทยอยจัดซื้อเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น ถ้าไม่ได้ประโยชน์คุ้มค่าก็ไม่น่าจะซื้อ เช่น กรณีเรือดำน้ำ เป็นต้น

ท่านผู้อ่านอาจจะแย้งว่าการจะมีวินัยการคลังหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผมมีประสบการณ์จริงมาแล้ว พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่เมื่อต้องการสิ่งใดก็จะใช้กลเม็ดต่างๆให้ได้ตามใจต้องการ ถ้ารัฐมนตรีคลังต่อต้านก็จะเปลี่ยนรัฐมนตรี และหาคนที่โอนอ่อนผ่อนตามเข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง

ตัวอย่างของกรณีเรือดำน้ำเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัด รัฐมนตรีคลังคนแรกของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์คัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษร จนฝ่ายทหารต้องดึงเรื่องที่เสนอออกจาก ครม. แต่รัฐมนตรีคลังคนต่อมาซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เลือกเอง ไม่ได้แสดงความเห็นคัดค้านเรื่องนี้แต่ประการใด ทั้งๆที่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังและของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไม่เห็นด้วย

หาก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งก็ย่อมจะเลือกบุคคลที่โอนอ่อนผ่อนตามคำสั่งของตนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง งบประมาณก็คงจะขาดดุลเพิ่มขึ้นและผูกพันมากขึ้น หนี้สินก็จะพอกพูนขึ้นจนทำให้ฐานะการคลังของประเทศอ่อนแอลง

แอบตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ

2.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเพื่อนร่วมรุ่น 6-7 คน ได้ร่วมกันกระทำการที่ไม่โปร่งใสเพื่อจะแอบตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นมาด้วยวิธีการที่รวมหัวกันเพิ่มบทบัญญัติจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติในการพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ปิโตรเลียมวาระที่ 2 ของกรรมาธิการวิสามัญของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้งๆที่ในการพิจารณาอนุมัติ พ.ร.บ. นี้ในขั้นหลักการในวาระที่ 1 ไม่มีหลักการในเรื่องการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไว้เลย แต่ได้ใช้กลเม็ดทางกฎหมายเพิ่มเรื่องใหม่เพิ่มเติมขึ้นในวาระที่ 2 จนสำเร็จ

เป็นการร่วมมือกันระหว่างกรรมาธิการวิสามัญที่ประกอบด้วยนายทหารเป็นเสียงข้างมากกับรัฐบาล ซึ่งแอบมีมติลับให้เพิ่มบทบัญญัติที่เป็นหลักการใหม่นี้ เป็นวิธีการที่แอบทำโดยไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยมีความตั้งใจที่จะให้บรรษัทน้ำมันแห่งชาติเป็นผู้ถือสิทธิในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ และในระยะเริ่มต้นของการดำเนินงานจะให้กรมการพลังงานทหารเป็นผู้บริหารบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไปก่อน

หากเป็นไปตามร่างดังกล่าวกิจการน้ำมันของประเทศก็จะถอยหลังไป ผมจำได้ว่าเมื่อ 50 ปีก่อน ขณะที่กรมการพลังงานทหารดูแลกิจการน้ำมัน เรามีน้ำมัน “สามทหาร” ของไทยที่มีส่วนแบ่งการตลาดน้อยมาก และถูกครอบงำโดยบริษัทน้ำมันต่างชาติเป็นสำคัญ ต่อมาเราก่อตั้งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นรัฐวิสาหกิจที่ทำหน้าที่เสมือนบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ซึ่งปรากฏว่าพัฒนามาได้ดีอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 เหนือกว่าบริษัทน้ำมันต่างชาติทั้งหมด

ปตท. ได้พัฒนาแหล่งพลังงานใหม่คือก๊าซธรรมชาติรองรับความต้องการพลังงานที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ได้ขยายตัวไปสำรวจและผลิตในต่างแดน นำพลังงานกลับมารองรับความเจริญของประเทศได้อย่างทันเหตุการณ์ ได้ขยายเครือข่ายการขายออกไปคุมตลาดในประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ และได้ตั้งบริษัทในเครือเพื่อดำเนินกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานอีกหลายบริษัท

เรามีรัฐวิสาหกิจที่ทำหน้าที่บรรษัทน้ำมันแห่งชาติได้ดีอยู่แล้ว ถ้ามีบรรษัทน้ำมันแห่งชาติใหม่เกิดขึ้นมา และใช้อำนาจที่มีกฎหมายรองรับดึงกรรมสิทธิ์ของพลังงานทุกชนิดมาอยู่ที่บรรษัทแห่งใหม่นี้ วิสาหกิจและกิจการของบริษัทพลังงานต่างๆหลายแห่งจะดำเนินอยู่ต่อไปได้อย่างไร

กิจการเหล่านี้เป็นกิจการขนาดใหญ่ หากต้องหยุดลงปัญหาอาจลุกลามจนเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจได้ และบรรษัทใหม่ซึ่งยังไม่มีประสบการณ์จะพัฒนาตนเองให้สามารถรองรับความเจริญทางเศรษฐกิจได้เพียงพอหรือ? จะสามารถรับมือกับปัญหาและพัฒนาการใหม่ๆของกิจการพลังงานได้หรือ? กิจการพลังงานของเราซึ่งรุดหน้ามาด้วยดีคงจะสะดุดจนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้

ก่อนที่จะถึงการพิจารณาวาระที่ 3 ของ สนช. เพื่อรับรองร่าง พ.ร.บ. ที่ผ่านการพิจารณาวาระที่ 2 มาแล้ว ผมได้ใช้โอกาสในช่วงเวลาที่เหลือไม่กี่วันทำหนังสือเปิดผนึกถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในเรื่องนี้ ตลอดถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติหากอนุมัติให้จัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติได้ ปรากฏว่าสมาชิก สนช. ส่วนใหญ่เข้าใจและเห็นถึงผลเสียที่จะตามมา จึงมีมติให้ตัดบทบัญญัติส่วนที่เพิ่มใน พ.ร.บ. ที่เกี่ยวกับบรรษัทน้ำมันแห่งชาติออกไปทั้งหมด นับว่าเป็นบุญของประเทศชาติ

แม้ว่า สนช. จะหยุดยั้งเรื่องนี้ไว้ได้แล้ว แต่กลุ่มบุคคลที่เป็นต้นคิดในเรื่องนี้ก็ยังไม่หยุดยั้ง และยังหาจังหวะทางการเมืองที่จะผลักดันเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง บุคคลกลุ่มนี้มีความสนิทสนมกับ พล.อ.ประยุทธ์มากทีเดียว หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่ง เมื่อมีพลังทางการเมืองเพิ่มขึ้นแล้วก็อาจจะผลักดันเรื่องนี้จนเป็นผลสำเร็จได้ ซึ่งจะมีผลเสียอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีก

อาณานิคมการค้าจีน

3.ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีนโยบายต่างประเทศที่ถ่วงดุลอำนาจระหว่างประเทศมหามิตรหลายฝ่ายที่มีอำนาจในโลกมาได้เป็นอย่างดีเสมอมา แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ดำเนินนโยบายผูกมิตรกับประเทศมหามิตรฝ่ายหนึ่งมากเกินไป ไม่มีการถ่วงดุลที่เหมาะสม อาจเป็นปัญหาสำหรับประเทศเล็กๆอย่างประเทศไทยได้ในอนาคต

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ดำเนินนโยบายที่เอาใจประเทศจีนมากกว่าประเทศมหามิตรอื่น เช่น สหรัฐอเมริกา EU และญี่ปุ่น อย่างไม่สมดุลเอาเสียเลย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือโครงการรถไฟความเร็วสูงระหว่างกรุงเทพฯ-หนองคาย ซึ่งรัฐบาลกำหนดเป็นนโยบายให้ใช้รถไฟความเร็วสูงของจีนเพื่อวิ่งบนเส้นทางดังกล่าว และให้บริษัทจีนเป็นผู้ออกแบบและคุมงาน โดยไม่เปิดโอกาสให้ประเทศอื่นที่มีความสามารถเท่ากันหรือดีกว่าจีนเข้าเสนอโครงการเพื่อเปรียบเทียบแต่ประการใดเลย และจีนก็มิได้มีเงื่อนไขที่ให้ประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นพิเศษแต่อย่างใด ประเทศไทยก็ยังต้องเป็นผู้รับภาระลงทุนก่อสร้างราง ลงทุนในระบบสัญญาณ สร้างขยายสถานี และลงทุนซื้อรถไฟความเร็วสูงจากจีนทั้งหมด ประเทศจีนไม่ต้องแบกภาระลงทุนในเรื่องใดเลย

เราไม่มีโอกาสได้เปรียบเทียบประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับข้อเสนอของประเทศอื่น และปิดโอกาสที่จะได้ใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าที่จีนมี เช่น เทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่น มีบางคนพูดว่าจีนเสนอให้เงินกู้แก่การรถไฟฯเพื่อใช้ในการว่าจ้างบริษัทจีนออกแบบและคุมงาน และอาจรวมถึงการให้เงินกู้เพื่อใช้ในการซื้อรถไฟจากจีนด้วย

เงื่อนไขการให้เงินกู้นี้อาจนับว่าเป็นเงื่อนไขพิเศษสำหรับประเทศไทยเมื่อ 60 ปีก่อน ซึ่งขณะนั้นต้องอาศัยเงินกู้จากต่างชาติสำหรับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แต่ประเทศไทยในปัจจุบันซึ่งมีตลาดเงินในประเทศขนาดใหญ่ และมีฐานะการเงินเป็นที่ยอมรับของตลาดเงินในต่างประเทศ การหาเงินกู้สำหรับโครงการขนาดนี้ไม่ใช่เงื่อนไขพิเศษแต่ประการใด และประเทศคู่แข่งรายอื่นก็สามารถเสนอเงื่อนไขเงินกู้ระยะยาวควบคู่ไปด้วยได้เหมือนกันอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลใดที่จะสนับสนุนการเลือกให้จีนเป็นผู้ออกแบบ คุมงานก่อสร้าง และเลือกซื้อรถไฟความเร็วสูงจากจีน โดยไม่เปิดโอกาสให้ประเทศอื่นได้เสนอเพื่อพิจารณาเทียบเคียงเลย นอกเสียจากเหตุผลที่จะเอาใจประเทศจีนเท่านั้น

การกระทำอีกเรื่องหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ต้องการเอาใจประเทศจีนเป็นพิเศษก็คือ การสอดไส้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยการบรรจุข้อความที่เปิดโอกาสอย่างเต็มที่ให้คนต่างชาติเข้ามาเป็นผู้อยู่อาศัยและถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินในประเทศไทยได้โดยง่าย กล่าวคือ ในร่าง พ.ร.บ.EEC ซึ่งรัฐบาลเสนอผ่านการรับหลักการในสภานิติบัญญัติแห่งชาติวาระที่ 1 ไปแล้ว มีข้อความที่ไม่มีใครเคยเขียนมาก่อนระบุไว้ในมาตรา 48 และมาตรา 49 กล่าวคือ ในมาตรา 48 ซึ่งให้สิทธิแก่ผู้ประกอบกิจการในหลายๆเรื่องนั้น มาตรา 48 (2) ระบุให้ “สิทธิในการนำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่อาศัยในราชอาณาจักร” ได้โดยไม่ได้กำหนดจำนวนสูงสุดไว้

และในมาตรา 49 ระบุให้ “ผู้ประกอบกิจการหรืออยู่อาศัยในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษซึ่งเป็นคนต่างด้าว…ให้มีสิทธิถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อื่นภายในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษได้ โดยไม่ต้องรับอนุญาตตามประมวลกฎหมายที่ดิน หรือภายใต้การจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด”

ข้อความใน 2 มาตราดังกล่าวนี้ ถ้าผ่านสภาออกเป็นกฎหมายก็จะเปิดโอกาสให้นายทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในเขต EEC สามารถนำคนงานต่างด้าวเข้ามาพร้อมทั้งครอบครัวที่เป็นผู้อยู่อาศัยได้ด้วย โดยคนงานและผู้อยู่อาศัยทุกคนมีสิทธิจะเป็นเจ้าของที่ดินในประเทศไทยได้เช่นกัน เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีรัฐบาลใดเปิดโอกาสเช่นนี้ให้แก่คนต่างด้าวมาก่อนเลย

ผมเจาะข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้รับทราบมาว่าผู้ที่เป็นตัวตั้งตัวตีให้บรรจุข้อความใน 2 มาตราดังกล่าวนั้นคือรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่มีความใกล้ชิดกับจีนเป็นพิเศษ และผมก็ได้สอบถามความเห็นของวงการนักลงทุนชาติอื่น เช่น ญี่ปุ่นและยุโรปแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่านักลงทุนชาติเหล่านั้นมีความต้องการเอาผู้อยู่อาศัยเข้ามาถือครองที่ดินแต่ประการใด คงมีความต้องการเฉพาะให้ผู้ประกอบการมีสิทธิครอบครองที่ดินบ้างเท่านั้น

ผมได้หาข้อมูลเพิ่มเติมก็ปรากฏว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านของเรามาแล้ว ผลก็คือขณะนี้ในประเทศเพื่อนบ้านของเรามีคนจีนเข้าไปครอบครองที่ดินและอยู่อาศัยถึงแสนครอบครัว ไม่ใช่นักลงทุนหรือผู้อยู่อาศัยจากชาติอื่นเลย

เดชะบุญที่สมาชิก สนช. ที่เป็นกรรมาธิการในวาระที่ 2 มองเห็นประเด็นนี้และยกขึ้นพิจารณาร่วมกันด้วยความรักแผ่นดินและต้องการรักษาแผ่นดินไว้ให้ลูกหลานไทย กรรมาธิการวาระ 2 จึงได้มีมติเอกฉันท์ให้ตัดคำว่า “ผู้อยู่อาศัย” ออกทุกแห่งที่ปรากฏในร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว จึงทำให้รอดพ้นจากภัยคุกคามเรื่องนี้ไปได้ จริงอยู่ต้นคิดเรื่องนี้ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่นายกรัฐมนตรีก็รับรู้และอนุมัติให้ส่งเข้าสภาจนผ่านการพิจารณาในวาระที่ 1 ไปได้ ด้วยเหตุผลใดผมไม่อาจทราบได้

ผมกลัวว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง เมื่อมีอำนาจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นก็อาจยินยอมให้แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.EEC ให้เพิ่มเรื่องอนุญาตให้นำผู้อยู่อาศัยเข้ามาถือครองที่ดินได้อีก

พล.อ.ประยุทธ์คงไม่ได้รับรู้ว่าในประเทศเพื่อนบ้านที่คนจีนเพิ่งเข้าไปถือครองที่ดินและอยู่อาศัยถึงแสนครอบครัวนั้น เขาได้แทรกแซงทำการค้า (Trading) ในเมืองต่างๆของประเทศนั้นในวงกว้างทีเดียว แล้วด้วยเงินทุนที่มีมากกว่าทำให้พ่อค้าชาวจีนครอบงำการค้า (Trading) ของประเทศนั้นมากแล้วทีเดียว

คนจีนที่อพยพเข้ามาอยู่เมืองไทยในสมัยต้นและสมัยกลางของยุครัตนโกสินทร์นั้น เป็นคนจีนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น จากฐานะที่ลำบากยากจน ไม่มีช่องทางทำมาหากิน ได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารเพื่อสร้างชีวิตใหม่ ทำให้คนจีนเหล่านี้สำนึกในบุญคุณของประเทศไทย ได้ตัดสินใจตั้งรกรากทำมาหากินและเป็นกำลังสำคัญในการทำธุรกิจ ช่วยให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวรุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้

แต่คนจีนสมัยนี้ที่เตรียมการจะเข้ามาถือครองที่ดินและอยู่อาศัยในประเทศไทยนั้น เป็นคนจีนที่ทำธุรกิจการค้าอยู่แล้ว ไม่ใช่คนที่จะหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่เป็นคนที่จะเข้ามาขยายโอกาสกอบโกยจากธุรกิจการค้า (Trading) ไม่ใช่คนที่เมื่อเข้ามาแล้วจะสำนึกบุญคุณประเทศไทยและจะทำเพื่อประเทศไทยแต่อย่างใดหรอก

ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเซีย ได้ประกาศยกเลิกโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จีนสนับสนุนเพื่อใช้เป็นเส้นทางสำหรับนักเดินทางจากจีนตอนใต้ผ่านลาว ไทย มาเลเซีย ไปสิงคโปร์ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่านโยบายสร้างเส้นทางรถไฟสายดังกล่าวของจีนนี้เป็นนโยบายล่าอาณานิคมมิติใหม่ (New Colonialism)

ใช่ครับ เป็นนโยบายที่อำนวยความสะดวกให้พ่อค้านักธุรกิจจีนได้ใช้รถไฟความเร็วสูงเข้ามาขยายธุรกิจการค้าในประเทศเหล่านี้ได้โดยสะดวก เป็นการขยายเครือข่ายการค้าที่ครอบงำโดยพ่อค้าชาวจีนเป็นสำคัญ เป็นการสร้างอาณานิคมในมิติของเครือข่ายทางการค้า

การพัฒนาการค้าให้ขยายและคล่องตัวมากขึ้นเป็นของดี แต่จำเป็นด้วยหรือที่ต้องเปิดโอกาสให้เครือข่ายการค้าของชาติใดชาติหนึ่งโดยเฉพาะเข้ามาครอบงำการค้าของไทย การครอบงำการค้าในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพ่อค้าในประเทศที่มีอยู่แข็งแรงพอที่จะต้านแรงครอบงำจากต่างชาติได้

แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือการค้าในต่างจังหวัดตามเส้นทางที่รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน เพราะพลังของพ่อค้าในเมืองเหล่านั้นไม่มากพอที่จะต่อสู้กับพลังนายทุนของพ่อค้าจากประเทศจีนสมัยนี้ที่มีแผนจะเข้ามาขยายเครือข่ายการค้าในเมืองเหล่านั้น ดังที่เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วว่าพ่อค้าจีนเหล่านี้ได้เริ่มจัดหาที่ดินเพื่อเป็นฐานค้าขายใกล้เส้นทางรถไฟแล้ว โดยใช้คนไทยที่ฐานะอ่อนด้อยเป็นตัวแทน (Nominee) ในการถือครองที่ดิน คนในท้องถิ่นรู้กันหมด แต่รัฐบาลก็ยังเพิกเฉยอยู่

ผมเชื่อว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกก็คงจะไม่มีนโยบายที่จะดูแลแก้ปัญหาในเรื่องนี้ ด้วยความที่ไม่อยากขัดใจจีน หรือไม่ก็คงจะเป็นเพราะความไม่รู้และไม่เข้าใจถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการสร้างอาณานิคมในมิติของเครือข่ายทางการค้า

ยิ่งอยู่ประชาชนยิ่งไม่พอใจทหาร

4.ในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์และ คสช. ได้กระทำการหลายอย่างเป็นประจำที่ทำให้คนไทยโดยทั่วไปเห็นว่าทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน เช่น กรณีโครงการราชภักดิ์ที่หัวหิน ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบพบว่ามีความไม่ถูกต้องหลายประการ ก็ถูกแรงกดดันจากรัฐบาลให้หัวหน้าสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินชี้แจงเสมือนเป็นเรื่องปรกติได้ ประชาชนเชื่อว่าหากเป็นหน่วยราชการอื่นที่ไม่ใช่หน่วยทหารเป็นผู้จัดทำก็คงจะถูกเปิดโปงและมีการลงโทษกัน

หรือเช่นกรณีรายงานทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ครบถ้วน ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะผิดหรือไม่ผิด แต่การที่ ป.ป.ช. ถ่วงเวลาในการตัดสินและชี้แจงต่อประชาชนออกมานานกว่าที่ควรจะเป็นมาก ก็ทำให้ประชาชนเห็นว่าเพราะบุคคลผู้นั้นเป็นทหาร จึงมีผลให้ ป.ป.ช. ถ่วงเวลาให้ หากบุคคลนั้นเป็นพลเรือน ป.ป.ช. ก็คงตัดสินไปนานแล้ว

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์และ คสช. ยังพยายามให้เห็นว่าทหารคือฝ่ายปกครอง ในขณะที่พลเรือนคือผู้ถูกปกครอง การเรียกตัวเอกชนไปให้ทหารเป็นผู้ปรับทัศนคติในกรมทหารก็ดี การใช้ทหารกำกับการทำงานของข้าราชการกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรฯในท้องถิ่นก็ดี ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทหารคือผู้ปกครองและพลเรือนอยู่ใต้การปกครองของทหาร

ความรู้สึกที่ว่าทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน และความรู้สึกที่ว่าทหารทำตัวเป็นผู้ปกครอง เมื่อนานไปก็มีผลให้ประชาชนทั่วไปไม่ชอบทหารมากขึ้นทุกที ความรู้สึกไม่พอใจทหารในขณะนี้ไม่ต่างจากช่วงเวลา พ.ศ. 2510 ถึง พ.ศ. 2516 หากปล่อยให้สะสมมากขึ้นต่อไปอาจจะเป็นอันตรายต่อบ้านเมืองได้

ในสมัยที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ท่านไม่เคยทำให้ประชาชนไม่พอใจทหารเลย ในทางตรงข้ามท่านทำให้ประชาชนเห็นว่าทหารเป็นที่พึ่งของประชาชนที่สามารถพึ่งได้ในยามคับขัน และความรู้สึกที่ดีนี้ก็มีตลอดมาจนถึงปี 2557 แต่ในวันนี้ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อทหารได้เปลี่ยนไปแล้ว ยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ เพราะเกิดจากการกระทำของทหารเพียงกลุ่มเดียวที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ความคิดของทหารส่วนใหญ่

หาก พล.อ.ประยุทธ์ลงจากตำแหน่ง ไม่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก และหาก คสช. ยุติบทบาท ปล่อยให้เป็นเรื่องของระบอบประชาธิปไตย และไม่พยายามแฝงตัวเพื่อมีอำนาจในการบริหารประเทศนอกระบอบประชาธิปไตย ทำหน้าที่ดูแลประเทศชาติอย่างที่เคยทำมาในช่วงก่อนพฤษภาคม 2557 ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อทหารก็จะค่อยๆดีขึ้น และเปลี่ยนจากความไม่พอใจความมีอภิสิทธิ์ของทหารมาเป็นความสบายใจที่มีทหารเป็นที่พึ่งในยามคับขันต่อไป

แต่ถ้า พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี ความกลัวที่ไม่กล้ายืนคนเดียว แต่จะต้องมีกองทัพมาหนุนหลังและรายล้อมปกป้อง จะทำให้ความรู้สึกไม่พอใจทหารคงอยู่ต่อไปหรือมากขึ้นไปอีก

สัมพันธ์ลึกกลุ่มทุนใหญ่

5.ในระหว่าง 1 ปีที่ผมทำงานกับ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์สนิทสนมและใกล้ชิดกับนายทุนที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่บางราย เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งบุคคลที่สนิทสนมกับกลุ่มธุรกิจปลอดภาษีเป็นประธานของการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ตามมาด้วยการแต่งตั้งให้บุคคลที่เป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจใหญ่กลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะเข้าไปนั่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งช่วยให้สามารถได้รู้ข้อมูลด้านการลงทุนที่ยังไม่เปิดเผยก่อนผู้อื่น และรู้แง่มุมของการวางนโยบายที่เป็นเรื่องไม่พึงเปิดเผยด้วย และยังเคยเชิญนักธุรกิจคนหนึ่งให้เข้าไปร่วมแสดงความเห็นในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย ซึ่งก็เป็นความเห็นที่เป็นประโยชน์แก่นักธุรกิจผู้นั้นโดยเฉพาะ และยังมีตัวอย่างอื่นอีกหลายเรื่องที่แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักธุรกิจรายใหญ่บางคนโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังเคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กลุ่มธุรกิจกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งเป็นผู้ลงทุนและดำเนินการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหินโดยไม่ต้องมีการประมูล เคยเอ่ยปากให้ผมจัดให้กรมธนารักษ์ให้เช่าที่ดินในเขตทหารบริเวณกาญจนบุรีให้เอกชนรายหนึ่งเช่าโดยให้คิดค่าเช่าในราคาถูก

ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยเข้าใจนัยสำคัญของเรื่องนี้

ไม่กล้าตัดสินใจกลัวเสียคะแนน

6.พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะกลัวเสียคะแนนนิยม รัฐมนตรีที่เคยร่วมงานในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์สามารถเป็นพยานได้ว่า เมื่อมีเรื่องใดที่รัฐบาลต้องอนุมัติเพื่อแก้ปัญหาหรือเพื่อปฏิรูป หากมีผู้ออกความเห็นคัดค้านในโซเชียลมีเดียบ่อยๆ พล.อ.ประยุทธ์ก็สั่งให้ถอยเสมอด้วยความกลัวว่าตนเองจะเสียคะแนนนิยม แม้ว่าความเห็นในโซเชียลมีเดียจะไม่มีเหตุผลเพียงพอหรือตรงข้ามกับข้อเท็จจริง แต่ถ้านำลงในโซเชียลมีเดียมากรายและหลายๆครั้งก็จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์กลัวเสียคะแนนนิยมจนสั่งถอนเรื่องเสมอ เช่น โครงการสร้างโรงไฟฟ้าผลิตจากถ่านหิน (แทนถ่านลิกไนต์ที่เคยทำอยู่เดิมและตัวถ่านหมดลง) เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนภาคใต้ ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่กำลังผลิตของโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดในภาคใต้เกือบจะผลิตได้ไม่พอความต้องการอยู่แล้ว แม้ว่าจะได้ทำการประชาพิจารณ์ถึง 6 ครั้ง และปรับปรุงแก้ไขส่วนต่างๆของโครงการให้เป็นไปตามความต้องการด้านความสะอาดและสิ่งแวดล้อมของผู้คนในท้องถิ่นครบถ้วนตามที่เขาต้องการจนประชาชนในท้องถิ่นออกเสียงให้ดำเนินการได้ในการทำประชาพิจารณ์ครั้งสุดท้ายแล้วก็ตาม

เมื่อวันที่นำเสนอที่ประชุม ครม. มีเพียง NGO 2 คนมาถือป้ายและตะโกนคัดค้าน นายกรัฐมนตรีก็ยังสั่งให้ถอนเรื่องจากที่ประชุม ครม. ถึงวันนี้ 3 ปีหลังจากถอนเรื่องจากที่ประชุม ครม. ครั้งนั้น การสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพื่อป้อนภาคใต้ก็ยังไม่ได้เริ่มทำ

หรือเช่นการประมูลสัมปทานสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติรอบที่ 21 ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งคัดค้าน แม้ว่าคณะที่ปรึกษาที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน ได้ให้ความเห็นว่าควรสนับสนุนการประมูลให้เสร็จเพื่อให้สามารถสำรวจและขุดเจาะก๊าซธรรมชาติได้ทันใช้ (เนื่องจากก๊าซในบ่อเดิมที่ใช้อยู่เหลือน้อยลง) และแม้จะจัดให้มีการโต้วาทีระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนกับกลุ่มที่คัดค้านตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีแล้ว พอถึงวันประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่าฝ่ายสนับสนุนชี้แจงได้ดี และไม่มีการพิจารณาเรื่องนี้ในที่ประชุม ครม. แต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องที่กระทรวงพลังงานสามารถดำเนินการต่อไปได้เลยถ้านายกรัฐมนตรีไม่ขัดข้อง ซึ่งทุกคนเข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น

หลังจากนายกรัฐมนตรีกล่าวชมในที่ประชุมแล้ว ปรากฏว่าหลังจากประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ออกไปชี้แจงกับนักข่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้พิจารณาเรื่องนี้แล้วเห็นควรให้ยกเลิกการประมูล สร้างความประหลาดใจให้กับผมและรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเป็นอย่างมากที่นายกรัฐมนตรียกเลิกการประมูลโดยไม่มีการพิจารณาในที่ประชุม ครม. เลย และไม่ได้บอกกล่าวให้คนที่เกี่ยวข้องรู้ก่อนแถลงข่าวเลย ทั้งนี้ก็เพราะกลัวจะเสียคะแนนนิยมจนต้องรีบแอบยกเลิกโดยไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้ที่เกี่ยวข้องเลย

อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความไม่กล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ควรทำเพราะกลัวเสียคะแนนนิยมคือ เรื่องภาษีทรัพย์สิน ซึ่งรัฐมนตรีคลังได้ตั้งเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. ก่อนที่จะเสนอสภา เป็นธรรมดาที่การจะเก็บภาษีเพิ่มเติมย่อมมีคนค้าน ผู้ที่คัดค้านทำการค้านผ่านทั้งสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรีเกิดความกลัวจะเสียคะแนนนิยม

ดังนั้น เมื่อเรื่องมาถึงที่ประชุมเตรียมการก่อนเสนอที่ประชุม ครม. ปรากฏว่า พล.อ.ประยุทธ์สั่งให้รอเรื่องไว้ก่อนด้วยเหตุผลเดียวคือ มีคนโจมตี ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์อ่านข้อความที่มีผู้คัดค้านให้ฟังในที่ประชุมด้วย ผมฟังแล้วเห็นว่าเป็นความเห็นคัดค้านของกลุ่มเจ้าของที่ดินที่มีที่ดินมากๆ ไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอที่จะหยุดกฎหมายนี้ แต่ในที่สุดกระทรวงการคลังก็ต้องดึงเรื่องออกไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี และต้องใช้เวลาอีก 3 ปีกว่ากฎหมายจะผ่านสภาออกมาบังคับใช้ได้แทนที่จะทำได้เสร็จในปีแรก ซึ่งจะทำให้เก็บภาษีได้มากขึ้นสำหรับบรรเทาปัญหาการขาดดุลงบประมาณซึ่งเป็นต่อเนื่องมากว่า 10 ปีแล้ว

เรื่องที่ต้องถอนออกจากที่ประชุมหรือให้รอไปก่อนยังมีอีกมากมาย รัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุม ครม. รู้ดี เพราะนายกรัฐมนตรีมักจะอ่านข้อความในโซเชียลมีเดียที่ค้านมาตรการหรือนโยบายของกระทรวงต่างๆ อ่านถึงเรื่องใดนายกรัฐมนตรีก็ออกปากให้หยุดหรือรอเรื่องนั้นไว้ก่อนเป็นประจำ

บุคคลที่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวว่าจะเสียคะแนนนิยมเช่นนี้ หากได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก การปฏิรูปในเรื่องต่างๆที่เตรียมกันไว้ก็จะเดินหน้าต่อไปได้ยาก เพราะมาตรการเพื่อการปฏิรูปทุกเรื่องย่อมจะมีผลกระทบประชาชนบางกลุ่มอย่างแน่นอน ถ้าขาดความกล้าที่จะยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง การปฏิรูปก็จะไม่เกิดขึ้น

ขายหน้าประเทศ

7.ในปีหน้าประเทศไทยจะเป็นประธานของการประชุม ASEAN ตลอดทั้งปี หาก พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีและทำหน้าที่ประธานของที่ประชุมระหว่างประเทศสมาชิก ASEAN รวมทั้งประเทศอื่นที่เข้าสังเกตการณ์ มีความเสี่ยงที่คนไทยจะต้องอับอายขายหน้าประเทศสมาชิกอื่นจากพฤฒิปฏิบัติของประธานที่ประชุมได้ ดังที่เคยเกิดมาแล้วในปี 2558 เมื่อครั้งที่ประเทศไทยได้เป็นประธานของการประชุมประเทศกำลังพัฒนา G-77 ของสหประชาชาติที่สิงคโปร์

ในการประชุมครั้งนั้นมีกำหนดให้นายกรัฐมนตรีของประเทศที่เป็นประธานกล่าวสุนทรพจน์ให้มวลสมาชิกทั้งหมดฟัง เจ้าหน้าที่ได้ยกร่างสุนทรพจน์ให้ พล.อ.ประยุทธ์พูดในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายสนใจใคร่รู้

แต่ปรากฏว่าหลังจากที่พูดตามร่างในเรื่องที่เตรียมไว้ไปได้ไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ได้หันไปพูดนอกบท โดยใช้เวทีที่สิงคโปร์ด่าทอสื่อมวลชน นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม และนักวิชาการในประเทศ อันเป็นการด่าคนไทยด้วยกันเองให้คนต่างชาติฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้สาระสำหรับตัวแทนจาก 130 ประเทศที่เข้าร่วมรับฟัง

ในวันนั้นการพูดนอกบทที่ไร้สาระเป็นไปอย่างก้าวร้าวและไม่สุภาพ ซึ่งไปกลบเนื้อหาสำคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่สื่อมวลชนควรได้รับรู้และนำไปเผยแพร่ต่อ ดังนั้น บนหน้าหนังสือพิมพ์ในวันถัดมาจึงให้ความสนใจกับลีลาที่เกรี้ยวกราดและดุดันอย่างไร้กาลเทศะของ พล.อ.ประยุทธ์ จนเข้าขั้นที่สื่อมวลชนต่างประเทศเรียกว่าเป็นตัวตลก สื่อต่างประเทศพาดหัวในวันถัดไปว่า “Thailand’s military junta is led by a clown”

นอกจากนี้เมื่อคราวที่ พล.อ.ประยุทธ์เข้าพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา คนไทยก็ได้รับรู้ความสามารถในการเจรจากับบุคคลระดับผู้นำประเทศ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เป็นไก่รองบ่อนอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ได้คาดหวังที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์พูดภาษาอังกฤษได้คล่องในการเจรจา เพราะผู้นำรัฐบาลสามารถใช้ล่ามได้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องพยายามฟังให้เข้าใจเนื้อหาและใช้สติหาคำตอบที่เหมาะสม ตอบเป็นภาษาไทยให้ล่ามแปลด้วยความรัดกุมก็จะไม่เสียเปรียบ แต่ความที่อยากจะอวดว่าพูดภาษาอังกฤษเป็น (ทั้งๆที่ภาษาอังกฤษใช้ไม่ได้เลย) จึงทำให้กลายเป็นไก่รองบ่อน น่าขายหน้าอีกครั้งหนึ่ง

หาก พล.อ.ประยุทธ์ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีในปีหน้า ซึ่งจะต้องทำหน้าที่ประธานของที่ประชุมผู้นำ ASEAN ด้วย ก็มีโอกาสที่คนไทยจะต้องอับอายขายหน้าอีกครั้ง เพราะ พล.อ.ประยุทธ์เป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ และเมื่ออารมณ์เสียแล้วก็จะบุ่มบ่ามและมุทะลุ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ต้องการแสดงออกให้คนรู้ว่าตนเองเก่งและรอบรู้ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นภายในที่มักจะทำให้เกิดการแสดงออกที่พลาดท่าได้

ภาษาวิบัติ-ก้าวร้าว-หยาบคาย

8.ในระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา นักข่าวมีโอกาสได้ฟังนายกรัฐมนตรีแถลงข่าวทุกวันประชุม ครม. และนำบทแถลงข่าวและบทให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ออกให้คนชมทางโทรทัศน์เป็นประจำ ทุกคนได้เห็นถึงการพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว มีลักษณะที่ก้าวร้าว และบางครั้งก็ใช้คำหยาบคายที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะออกมาจากปากของคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ซึ่งอาจกลายเป็นตัวอย่างที่เยาวชนจะทำตาม

เด็กๆย่อมมองเห็นบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นแบบอย่างสำหรับทำตามอยู่แล้ว เมื่อนายกรัฐมนตรีพูดก้าวร้าวได้และพูดหยาบคายได้ เยาวชนก็จะคิดว่าเขาน่าจะมีสิทธิทำได้เช่นกัน พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยระวังตัวในการใช้คำพูดเลย ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรวางตัวอย่างไรหรือพูดจาอย่างไรจึงจะเหมาะสมและเป็นตัวอย่างที่ดีของเยาวชน

นอกจากนี้คนไทยทุกคนยังมีโอกาสได้ฟังคำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีทางโทรทัศน์ทุกเย็นวันศุกร์ สิ่งที่น่าอนาถใจคือ การใช้ภาษาไทยในการพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศในหลายประการ

ประการแรก พล.อ.ประยุทธ์พูดจารวบคำอยู่เสมอ เช่น คำว่า “ประชาชน” พูดว่า “ประชน” หรือคำว่า “พิษณุโลก” พูดว่า “พิษโลก” ตัวอย่างการพูดรวบคำของ พล.อ.ประยุทธ์ยังมีอีกนับร้อย เมื่อผู้นำพูดเช่นนี้บ่อยๆคนก็จะทำตามจนอาจทำให้ภาษาวิบัติได้

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่สนใจที่จะพูดจาให้ไพเราะเสนาะหู อันเป็นลักษณะของการพูดภาษาไทยที่ดีเลย สำเนียงที่ลงท้ายประโยคเป็นไปอย่างห้วนๆและแข็งกระด้างโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้ฟังเลย ท่วงทำนองและคำที่ใช้เป็นไปในลักษณะที่ผู้พูดรู้สึกว่าตนมีฐานะเหนือผู้ฟังตลอดเวลา ไม่เคยพูดด้วยความนุ่มนวลและสุภาพในลักษณะที่ให้เกียรติผู้ฟังแต่ประการใดเลย ซึ่งอาจทำให้เยาวชนเข้าใจว่าวิธีการพูดแบบนี้เป็นวิธีการพูดที่ถูกต้อง การใช้ภาษาไทยก็จะเสื่อมลงได้

มีผู้ช่วยแก้ต่างให้ พล.อ.ประยุทธ์ว่า ที่พูดจาลักษณะนี้เพราะเป็นทหาร ผมคิดว่าเราไม่ควรกล่าวหาทหารเช่นนั้น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ก็พูดจาไพเราะเสนาะหู ไม่เคยพูดก้าวร้าว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็พูดจาดีและนุ่มนวล เพื่อนของผมที่เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคนก็พูดจาดี สุภาพ ไม่หยาบคาย

และผมก็ทราบว่า กองทัพบกมีหลักสูตรสำหรับฝึกการพูดให้แก่ผู้ที่จะเป็นนายทหารระดับสูงให้มีความเป็นสุภาพชนที่เหมาะสม คงมี พล.อ.ประยุทธ์นี่แหละที่ทำได้ไม่ดีเท่านายทหารคนอื่น

มาพร้อมความวุ่นวาย

โดยสรุป ผมเห็นว่าหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก การปฏิรูปที่เตรียมไว้ก็คงจะไม่สำเร็จ เพราะความไม่กล้าตัดสินใจ เนื่องจากกลัวเสียคะแนนนิยม แม้ว่าจะมีผู้คัดค้านเพียงหยิบมือเดียว ฐานะการคลังของประเทศก็คงจะเสื่อมลงไปอีกเพราะขาดวินัยที่ดี คนไทยก็คงต้องทนฟังการพูดภาษาไทยที่ขัดหู รวบคำ และแข็งกระด้าง และต้องนั่งเป็นห่วงว่าเยาวชนอาจเลียนแบบตัวอย่างที่ไม่ดี ต้องนั่งใจเต้นว่านายกรัฐมนตรีจะไปทำให้ประเทศไทยขายหน้าในการเป็นประธานการประชุมในเวทีโลกอีกหรือไม่

ต้องเป็นห่วงว่าจะมีการผลักดันให้ตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติซึ่งจะมีผลเสียต่อเศรษฐกิจอีกหรือไม่ และจะหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ต้องเป็นห่วงว่าประเทศไทยจะถูกแทรกซึมในธุรกิจการค้าโดยประเทศมหาอำนาจบางประเทศหรือไม่ การให้ประโยชน์แก่กลุ่มธุรกิจที่ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประยุทธ์จะมีส่วนสร้างความไม่พอใจให้แก่ประชาชน และหากรวมเข้ากับความไม่พอใจในการที่ทหารมีอภิสิทธิ์เหนือพลเรือน ก็อาจจะทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองได้

ชี้ “หม่อมอุ๋ย” เข้าใจคลาดเคลื่อน

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการวิจารณ์ของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร (24 ธันวาคม) ว่า นายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว โดยถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล คงไม่มีใครไปห้ามได้ แต่อยากให้ศึกษาข้อมูลให้ถูกต้อง เพราะเรื่องที่พูดล้วนแต่เป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน

“หลายประเด็นมาจากความคิดเห็นส่วนตัว ทำให้สังคมเกิดความสับสนและอาจเข้าข่ายให้ร้ายบุคคลอื่นได้ เช่น การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการใดๆทั้งสิ้น การจัดประชุม ครม. นอกสถานที่ก็ไม่ใช่การหาเสียงหรือเรียกคะแนนนิยม เพราะเป็นภารกิจปรกติของรัฐบาลที่ทำมาก่อนหน้านี้อย่างน้อย 1 ปี ส่วนกรณีรัฐมนตรี 4 คนในรัฐบาลที่แสดงความจำนงจะไปทำงานการเมืองนั้น นายกฯเน้นย้ำเสมอว่าขอให้ระมัดระวังการเคลื่อนไหว ศึกษากฎหมายให้รอบคอบ และให้ทำในนามส่วนตัว อย่านำรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้อง”

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์เองปฏิเสธกรณี ม.ร.ว.ปรีดิยาธรให้เหตุผลไม่ควรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ (25 ธันวาคม) แต่กล่าวสั้นๆที่ว่าสนิทสนมกับนักธุรกิจบางรายและอาจเอื้อผลประโยชน์ต่อกัน โดยยืนยันว่า “ผมไม่มีหรอก แล้วมันมีหรือไม่ล่ะ มันเกิดอย่างที่เขาพูดหรือไม่ ไม่ได้เกิดสักอัน” ส่วนที่มีคนออกมาโจมตีมากในช่วงนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ให้ไปถามว่า “เขาหวังผลอะไร”

ผู้ “มากบารมี” ไม่เอา “ตู่”?

หลายคนสงสัยว่าทำไม ม.ร.ว.ปรีดิยาธรจึงกล้าออกมาดับเครื่องชน พล.อ.ประยุทธ์ และทำไม พล.อ.ประยุทธ์จึงไม่ชี้แจงหรือตอบโต้เหมือนที่ผ่านมา ทั้งที่ข้อกล่าวหาของ “หม่อมอุ๋ย” ล้วนร้ายแรงทั้งสิ้น ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์ไม่ชี้แจงหรือชี้แจงไม่ได้ ข้อกล่าวหาของ “หม่อมอุ๋ย” ก็จะเป็นเหมือนระเบิดลูกใหญ่ที่อาจส่งผลต่อการเป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะความสนิทสนมกับนายทุนใหญ่บางรายซึ่งได้สิทธิในสัมปทานและการลงทุนโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ อย่างที่นายธนพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการวารสารฟ้าเดียวกัน โพสต์เฟซบุ๊ค Thanapol Eawsakul ว่า…ข้อเขียนของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรทำให้คิดถึงยุค “ครม.ชาติชาย” ที่ถูกตั้งฉายาว่า “บุฟเฟ่ต์คาบิเนต”

ขณะที่มีการปล่อยข่าวว่า “หม่อมอุ๋ย” ถูกทาบทามให้เป็นหนึ่งในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองหนึ่ง แต่อีกกระแสก็ยืนยันว่า “หม่อมอุ๋ย” ไม่ใช่คนวางแผนอะไรซับซ้อน แต่เป็นคนตรงไปตรงมา การออกมาต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้เป็นนายกรัฐมนตรีมีเหตุผลและพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว

โดยเฉพาะการพูดคุยและหารือกับผู้ใหญ่ที่ “มากบารมี” รวมถึงนักธุรกิจและคนในเครื่องแบบที่เห็นพ้องถึงภาวะความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าไม่เหมาะสมกับการบริหารประเทศในสถานการณ์ปรกติ เพราะมีโอกาสสูงที่จะเกิดความขัดแย้งและความวุ่นวายขึ้นอีก ยิ่งสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวน การรัฐประหารยิ่งจะทำให้ประเทศเสียหาย โดยเฉพาะเศรษฐกิจอาจถึงวิกฤตยิ่งกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540

บัดสีบัดเถลิง!

เกือบ 5 ปีในอำนาจของ “ลุงฉุน” วันนี้จึงยังไม่มีอะไรแน่นอน แม้มั่นใจว่าปีหมูจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่การเมืองหลังการตั้งรัฐบาลที่ไม่มี “อำนาจพิเศษ” ไม่มีปืนกดหัวประชาชนนั้น แตกต่างสิ้นเชิงกับอำนาจในฐานะ “ทั่นผู้นำ” จากคณะรัฐประหาร ถึงแม้จะมี ส.ว.ลากตั้ง 250 คนมาค้ำยัน แต่ถ้าไม่ได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรก็เหมือนการออกเรือในทะเลการเมืองที่ไม่ใช่แค่เจอคลื่นใต้น้ำ แต่จะเจอมรสุมใหญ่กระหน่ำจน “ฉุนแตก” ได้ยิ่งกว่าทุกวันนี้

การเลือกตั้งภายใต้กติกาที่ไม่เป็นธรรม เอาเปรียบ แถมสารพัดวิธีสกปรกที่จะทำลายคู่แข่งที่เป็นพรรคการเมืองและกลุ่มที่สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยไม่เอาเผด็จการในครั้งนี้ จึงฉายภาพออกมาชัดเจนมากขึ้นๆ จนเชื่อว่าประชาชนนั้นได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกผู้นำแบบไหน และอยากเห็นบ้านเมืองแบบใด

ใครก็ตามถ้าทั้งถือปืน ทั้งโกงอำนาจ ทั้งใช้วิธีสกปรก ทั้งวางกติกาเอาเปรียบสารพัด แต่ก็ยังกลัวแพ้จนต้องเร่งมือหนักขึ้นๆ จนหน้ามืดเลือกใช้วิธี “บัดสีบัดเถลิง” ไปดูแลความมั่นคงของใครต่อใครถึงในมุ้ง สะกดรอย จารกรรม แอบถ่ายแม้แต่ใต้กระโปรงก็ทำได้อย่างไม่ละอาย ย่อมหมายถึงอะไรที่ชั่วร้ายต่ำช้ากว่านี้ก็ย่อมทำได้.. เราจะปล่อยให้อำนาจพิสดารมาทำลายอีกหรือ?

อำนาจเป็นของประชาชน อำนาจใดก็ไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าอำนาจของประชาชน วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ถ้าไม่มีอะไรมาเลื่อนเลือกตั้ง

“สองมือเปล่า เดินเข้าคูหา รับเงินหมา จรดปากกา เลือกพรรคตรงข้ามเผด็จการ”!!??


You must be logged in to post a comment Login