- ปีดับคนดังPosted 10 hours ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 2 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 3 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 4 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 7 days ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 1 week ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 1 week ago
- หนีกรรมไม่พ้นPosted 2 weeks ago
ครอบครัวกับอนาคตของสังคม
คอลัมน์ สันติธรรม
ครอบครัวกับอนาคตของสังคม
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข 11-18 มกราคม 2562)
ครอบครัวคือฐานของสังคม ถ้าสังคมใดมีแต่ครอบครัวที่ล่มสลาย สังคมนั้นมีแต่จะรอความหายนะมาเยือน ความมั่นคงของครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างความเข้มแข็งให้สังคม
ก่อนหน้าสมัยอิสลามมักก๊ะฮฺไม่เพียงเป็นเมืองที่มีแต่ภูเขาหินเท่านั้น ใจของคนในเมืองยังแข็งกระด้างเหมือนหินเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เมล็ดพันธุ์อิสลามที่นบีมุฮัมมัดใช้ความพยายามหว่านเป็นเวลา 13 ปีจึงให้ผลผลิตน้อย ต้นกล้าบางต้นที่งอกเงยขึ้นมาถูกเหยียบย่ำทำลายจนแทบไม่รอด ท่านจึงสั่งผู้ศรัทธาในพระเจ้าให้ทยอยอพยพไปอยู่ยังเมืองยัษริบ
ระหว่างที่มุสลิมกำลังอพยพ นบีมุฮัมมัดรู้เบาะแสว่าหัวหน้าชาวเมืองมักก๊ะฮฺวางแผนลอบสังหารท่าน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเล็ดลอดออกจากมักก๊ะฮฺอพยพไปสมทบกับบรรดาสาวกที่รอคอยท่านอยู่ในเมืองยัษริบ
ยัษริบเป็นเหมือนผืนดินร่วนซุยที่เหมาะสมสำหรับการหว่านเมล็ดพันธุ์อิสลาม เพราะคนท้องถิ่นที่นั่นส่งเทียบเชิญนบีมุฮัมมัดให้ไปเป็นผู้นำ และสัญญาว่าจะช่วยท่านในการสถาปนาอิสลามเป็นวิถีการดำเนินชีวิต สาวกของท่านส่วนหนึ่งที่อพยพไปก็พร้อมที่จะรับคำสั่งทุกอย่างจากท่าน
ดังนั้น เมื่อไปถึงยัษริบสิ่งแรกที่ท่านเริ่มทำก่อนคือ การสร้างมัสยิดเพื่อเป็นศูนย์รวมทางจิตวิญญาณของผู้ศรัทธาในพระเจ้า เป็นสำนักงานวางรากฐานสังคมอิสลาม และเป็นแหล่งพักพิงของผู้อพยพจากมักก๊ะฮฺที่ลำบากยากจน หลังจากนั้นท่านได้สร้างบ้านพักของท่านใกล้กับมัสยิด
หลังจากนั้นท่านได้ผูกความสัมพันธ์ฉันพี่น้องระหว่างมุสลิมขึ้น ท่านได้ขอให้มุสลิมในเมืองยัษริบรับผู้อพยพไปอุปการะตามความสามารถ การผูกความสัมพันธ์นี้ได้ผลถึงขนาดที่คนในท้องถิ่นบางคนยินดีที่จะหย่าเมียคนหนึ่งของตนให้ไปแต่งงานกับผู้อพยพเพื่อดูแลช่วยเหลือ ผู้อพยพบางคนไม่ต้องการความช่วยเหลือถึงขนาดนั้น แต่ขอให้ชาวเมืองบอกว่าตลาดอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นได้ใช้ความสามารถของตนในการทำมาค้าขายจนมีฐานะขึ้นมาในเวลาไม่นาน
ในบรรดาผู้อพยพมายังเมืองยัษริบนั้น หลายคนเป็นสามีภรรยาที่หันมานับถืออิสลามด้วยกันทั้งคู่ แต่บางคู่ฝ่ายหนึ่งเป็นมุสลิมที่ศรัทธาในพระเจ้า แต่อีกฝ่ายหนึ่งยังนับถือเทพเจ้าตามบรรพบุรุษ ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงให้สถาบันครอบครัว นบีมุฮัมมัดจึงประกาศว่าสามีภรรยาคู่ใดที่ต้องการใช้ชีวิตครอบครัวอิสลาม ทั้งคู่ต้องมีความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกัน ส่วนสามีหรือภรรยาคู่ใดที่ไม่ศรัทธาในพระเจ้าจำเป็นที่จะต้องแยกทางกันไป เพื่อมิให้เกิดความขัดแย้งเรื่องความเชื่อขึ้นในครอบครัว
หลังจากอพยพไปได้แค่เพียงปีกว่า สงครามครั้งแรกได้เกิดขึ้นจากการรุกรานของชาวมักก๊ะฮฺ แม้ชาวมักก๊ะฮฺได้รับความพ่ายแพ้กลับไป แต่ฝ่ายมุสลิมก็ได้รับความสูญเสียไม่น้อย นักรบหลายคนพลีชีพไปในสมรภูมิ ทิ้งภรรยาและเด็กหญิงกำพร้าไว้หลายคน พระเจ้าจึงมีบัญชาให้นบีมุฮัมมัดสั่งคนที่มีความสามารถรับแม่ม่ายและเด็กหญิงกำพร้าไปดูแลโดยการแต่งงาน แต่ต้องไม่เกิน 4 คนบนเงื่อนไขว่าถ้าสามารถให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนได้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีการจำกัดการมีภรรยาไว้ไม่ให้เกิน 4 คน
นบีมุฮัมมัดเองได้แต่งงานภรรยาบางคนด้วยเหตุผลดังกล่าว และพระเจ้าได้อนุญาตให้ท่านเพียงผู้เดียวมีภรรยาเกินกว่า 4 คน เพื่อปฏิบัติภารกิจสถาปนาอิสลามที่มอบหมายให้เสร็จภายในเวลา 23 ปี
ในเวลานั้นแผ่นดินอาหรับมิใช่มีแค่เพียงชาวอาหรับที่เคารพกราบไหว้รูปปั้นเท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มชนที่เรียกว่าลูกหลานอิสราเอลอาศัยอยู่ในยัษริบด้วย คนกลุ่มนี้บางครั้งคัมภีร์กุรอานเรียกว่า “ชาวคัมภีร์” เพราะคนกลุ่มนี้มีคัมภีร์ทางศาสนาอยู่ ชาวคัมภีร์นี้หมายรวมถึงชาวยิวและชาวคริสเตียนที่มีความเชื่อบางอย่างผิดเพี้ยนไปจากเดิม
เมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนกลุ่มนี้และอาจต้องมีปฏิสัมพันธ์กันจนถึงขั้นแต่งงาน แม้จะมีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่พระเจ้าได้มีบัญชาอนุญาตให้ผู้ชายมุสลิมแต่งงานกับหญิงชาวคัมภีร์ได้ แต่ไม่อนุญาตให้หญิงมุสลิมแต่งงานกับชาวคัมภีร์ เพราะผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัวซึ่งมีอิทธิพลในการชักนำภรรยาของตนให้ไปนับถือศาสนาของตน
การแต่งงานมีครอบครัวในอิสลามจึงถือเอาความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา และการอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ศรัทธาในพระเจ้าถือเป็นการผิดประเวณีที่ทั้งสองฝ่ายต่างสะสมบาปไปด้วยกันทั้งคู่
You must be logged in to post a comment Login