วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

“แดรี่ควีน”เตรียมทุ่มงบ100 ล้านบาท เปิดเกมรุกเต็มสูบตลอดปี 2562

On January 21, 2019

นายนครินทร์ ธรรมหทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไมเนอร์ ดีคิว จำกัด บริษัทในเครือไมเนอร์กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจร้านไอศกรีม “แดรี่ควีน” กล่าวว่า“แดรี่ควีน เป็นแบรนด์จากสหรัฐอเมริกาที่มีประวัติยาวนานถึง79ปี ดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ “ความอร่อยที่ให้คุณสัมผัสได้ในทุกโมเม้นต์”โดยผลิตภัณฑ์ที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่ทำให้คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยคุ้นเคยกับแบรนด์แดรี่ควีน ก็คือ ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ (Soft-serve) ที่รู้จักกันในชื่อเมนู ‘บลิซซาร์ด’(Blizzard® Treat)ปัจจุบันแดรี่ควีนมีสาขาเปิดให้บริการทั่วโลกกว่า 6,800 แห่ง สำหรับในประเทศไทยไมเนอร์ ดีคิว เป็นผู้นำแบรนด์ ‘แดรี่ควีน’ เข้ามาทำตลาดตั้งแต่ปีพ.ศ.2539 โดยมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจ 2 แบบ คือ ร้านที่บริหารโดยไมเนอร์ ดีคิว และร้านแฟรนไชส์ ในขณะที่ในด้านผลิตภัณฑ์แดรี่ควีนเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทที่ลูกค้าเลือกรับประทานเพื่อความพึงพอใจเราจึงมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบทุกความต้องการและทุกช่วงเวลาให้กับลูกค้า ซึ่งประกอบด้วย 4ประเภท ได้แก่ 1) ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ2) ไอศกรีมเค้ก/ไอศกรีมแซนวิช3) ฮอทดอกและ 4) เครื่องดื่มโดยจำหน่ายในราคาตั้งแต่10 บาท ไปจนถึง 495 บาท มีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือคนรุ่นใหม่ อายุระหว่าง 18-29 ปี ที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รสชาติถูกปาก จำหน่ายในราคาที่เข้าถึงได้ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม”

“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมายอดขายของบริษัทฯเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยสองปัจจัยหลัก คือ 1) จากไลฟ์สไตล์การกินดื่มของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปนิยมรับประทานของว่าง เช่น ขนม หรือของหวานกันมากขึ้น ประกอบกับประเทศไทยเป็นประเทศเขตร้อน ‘ไอศกรีม’ จึงกลายเป็นตัวเลือกท็อปฮิตของคนไทย และ 2) การวางกลยุทธ์ที่ชัดเจนสอดรับกับความต้องการของตลาด

โดยบริษัทฯเน้นการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องโดยใช้ 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่กลยุทธ์ ‘Strategic Partner’ การจับมือกับพันธมิตรกลุ่มธุรกิจค้าปลีกและผู้ซื้อธุรกิจแฟรนไชส์ กลยุทธ์ ‘Strategic Location’เลือกโลเคชั่นที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายและกลยุทธ์ ‘Customer Satisfaction’ การสร้างความพึงพอใจในทุกความต้องการให้แก่ลูกค้ารวมถึงการนำเสนอจุดแข็งของแบรนด์ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพผลิตจากนมโคมีความหลากหลาย และมีนวัตกรรม โดยเฉพาะซิกเนเจอร์ “อัพไซด์ดาวน์” ในเมนูบลิซซาร์ดที่ผู้บริโภคมีการจดจำได้ดีโดยทั้งสามกลยุทธ์ดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้เพื่อการเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดทั้งในแง่ของความสะดวกในการซื้อ และการเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภค ส่งผลให้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแดรี่ควีนมีรายได้เติบโตต่อเนื่องตลอด 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ปีละ4% และเป็นแบรนด์ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟที่มีสาขามากที่สุดในประเทศไทยด้วยจำนวนทั้งสิ้น 500 สาขา”

ล่าสุด “แดรี่ควีน”ได้จัดกิจกรรม “500Stores Celebration”ฉลองความสำเร็จในโอกาสเปิดสาขาให้บริการในประเทศไทยครบ 500แห่ง เอาใจคนรักไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟด้วยการแจกฟรีไอศกรีมบลิซซาร์ดรส“ข้าวเหนียวใบเตยมะม่วง”ที่มาพร้อม “มะพร้าวคั่ว” ท็อปปิ้งสูตรเฉพาะครั้งแรกของโลก!จำนวนรวม 1,000 ถ้วย เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา พร้อมเตรียมจำหน่ายไอศกรีมบลิซซาร์ดรสชาติพิเศษนี้ในราคา 40บาท ต่อเนื่องตลอดเดือนมกราคมนี้ เฉพาะที่ร้านแดรี่ควีน สาขาอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิเท่านั้น

นายนครินทร์ เปิดเผยว่า “สำหรับทิศทาง และเป้าหมายการดำเนินธุรกิจ ในปีพ.ศ.2562 บริษัทฯได้เตรียมงบการตลาดไว้ที่100 ล้านบาท เพื่อรักษาตำแหน่งผู้เล่นหลักในกลุ่มไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก พร้อมกันนี้ยังเตรียมขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นผ่านการนำเสนอความหลากหลายของเมนูให้มากขึ้น โดยเน้นสร้างความแปลกใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์กลุ่มฮอทดอกและเครื่องดื่มที่มีรสชาติถูกปากคนไทยควบคู่ไปกับการสานต่อกลยุทธ์ไม่ว่าจะเป็นการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพเน้นให้ความสำคัญกับเครือข่ายผู้ประกอบการธุรกิจแฟรนไชส์ด้วยการสร้างความแข็งแกร่งผ่านการเพิ่มทักษะ และเทคนิคในการบริหารจัดการธุรกิจให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดการเลือกStrategic Location เพื่อช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น ตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีก 40 แห่งภายในปีพ.ศ. 2562 โดยในปีนี้บริษัทฯ ไม่ได้เน้นขยายสาขาตามสภาพภูมิศาสตร์แต่จะเน้นการเข้าไปอยู่ในทุกโอกาสของลูกค้าให้มากขึ้น เช่น บริการโมบาย ยูนิต หรือ ฟู้ด ทรัคส์ เข้าไปจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในงานอีเว้นท์ต่างๆ เป็นต้น ตลอดจนเน้นการสร้างความพึงพอใจในทุกความต้องการให้กับลูกค้าด้วยการเสริมบริการเดลิเวอรี่เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า พร้อมกับการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ และการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เพื่อให้เกิดแบรนด์รอยัลตี้ และแบรด์แอดโวเคซี่โดยมีเป้าหมายในอีก 3-5 ปีข้างหน้าคือมอบประสบการณ์ความอร่อยให้กับผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างครอบคลุม ด้วยการขยายสาขาให้ครบ 1,000 สาขาทั่วประเทศ”

“ปัจจุบันเทรนด์การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มของคนไทยในยุคดิจิทัล ที่นอกจากจะเลือกแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์ตรงตามความต้องการของตนเองแล้ว ยังมองหาผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกระแส มีการนำเสนอเอกลักษณ์ที่น่าสนใจเหมาะกับการแชร์ลงบนโซเชียลมีเดียของตนเองในขณะเดียวกันต้องเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงได้ง่าย ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายตอบทุกความต้องการของตนเองได้ภายในที่เดียว จากเทรนด์และพฤติกรรมผู้บริโภคต่างๆ เหล่านี้ บริษัทฯ มองว่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยผลักดันให้เกิดการแข่งขันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และแคมเปญส่งเสริมการขายจากผู้เล่นในตลาดจนกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการบริโภคต่อเนื่องตลอดทั้งปี”นายนครินทร์กล่าวสรุป

2

3


You must be logged in to post a comment Login