วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เรื่องใหญ่อย่าเงียบ

On January 22, 2019

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 22 ม.ค. 62)

หนึ่งในศพชายนิรนามที่ถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยการมัดแขน รัดคอ ทุบจนใบหน้าเละ และท้องถูกผ่ายัดเสาปูน ที่ลอยมาติดที่ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ได้รับการยืนยันจากผลตรวจดีเอ็นเอแล้วว่าเป็นหนึ่งในผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งเป็นคนสนิทที่ถูกอุ้มหายตัวไปพร้อมกับ “สุรชัย แซ่ด่าน” ขณะที่อีกศพจะทราบผลดีเอ็นเอภายใน 2-3 วันนี้ การตามอุ้มฆ่าผู้ลี้ภัยทางการเมืองไม่ควรเป็นแนวทางที่ได้รับการสนับสนุน จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทำความจริงให้กระจ่าง ไม่ใช่เพียงแค่การยืนยันว่าศพที่พบเป็นใคร แต่ต้องทำให้กระจ่างถึงกระบวนการ กลุ่มบุคคลที่ปฏิบัติการอุ้มฆ่านอกราชอาณาจักรว่าเป็นใคร ได้รับการสนับสนุนจากใคร และใครเป็นคนสั่งการ เพราะกรณีนี้อาจสร้างปัญหาในระยะยาวมากกว่าแก้ปัญหา

ในขณะที่กำหนดวันเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน แต่มีบางเรื่องที่ชัดเจนขึ้นแล้ว

ย้อนไปประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา มีการพบศพชายนิรนามถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยการมัดแขน รัดคอ ทุบจนใบหน้าเละ และท้องถูกผ่ายัดเสาปูน ลอยมาติดที่ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ซึ่งเป็นการพบหลังข่าวการหายตัวไปจากบ้านพักของนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือสุรชัย แซ่ด่าน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้ติดตามอีก 2 คนที่ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน

ก่อนหน้านี้มีความพยายามออกข่าวว่าศพผู้เสียชีวิตไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่หายตัวไป แต่เว็บไซต์ประชาไท https://prachatai.com/journal/2019/01/80642 รายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมาว่า ได้รับข้อมูลจากบุตรชายของ “ภูชนะ” หนึ่งในผู้ติดตามนายสุรชัยที่หายตัวไปพร้อมกันว่า ผลตรวจดีเอ็นเอโดยใช้เนื้อเยื่อของศพที่ถูกสังหารยืนยันว่ามีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับตนเอง

ส่วนญาติของ “กาสะลอง” คนสนิทอีกคนที่หายตัวไปพร้อมนายสุรชัยระบุว่า เจ้าหน้าที่แจ้งให้ทราบว่าจะรู้ผลตรวจดีเอ็นเอศพที่พบลอยน้ำมาอีกศพภายใน 2-3 วันนี้

สรุปคือยืนยันแล้ว 1 ศพว่าเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากไทยจริง อีกศพกำลังรอคำยืนยัน ในส่วนของนายสุรชัยนั้นขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลชี้ชัดหลังจากหายสาบสูญไป

นางปรานี ด่านวัฒนานุสรณ์ ภรรยาของนายสุรชัย ระบุว่า ได้ทราบข่าวจากบุตรชายของ “ภูชนะ” แล้ว แต่ยังไม่ขอพูดอะไร โดยเบื้องต้นได้ทำใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะต้องเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง

เหตุการณ์นี้ซ้ำรอยกับกรณีของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีอาญา มาตรา 112 และคดีก่อการร้าย ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้านหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่หายสาบสูญไปตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2560 จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ใดได้พบหรือสามารถติดต่อกับ “โกตี๋” ได้อีก ซึ่งคาดว่าน่าจะเสียชีวิตแล้ว

ทั้งนี้ มีคำยืนยันจากคนใกล้ชิดของ “โกตี๋” ที่ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ด้วยกันว่า “โกตี๋” ถูกชายชุดดำพูดภาษาไทยกว่า 10 คน ซุ่มจับตัวไปขณะกำลังกลับเข้าบ้านพัก

กรณีของ “โกตี๋” นายสุรชัย และคนใกล้ชิด น่าจะสร้างความหวาดผวาให้ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ยังอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายคน เพราะไม่รู้ว่าภัยเช่นนี้จะมาถึงตัวเมื่อไร

แน่นอนว่าในทางกฎหมายทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ไม่ว่าจะเป็นคดีความมั่นคง หรือคดี ม.112 ซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากความเคลื่อนไหวทางการเมือง และทั้งหมดที่ถูกอุ้มฆ่ายังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่องแม้จะอยู่ในสถานะผู้ลี้ภัย

อย่างไรก็ตาม การตามอุ้มฆ่าในประเทศเพื่อนบ้านไม่ควรเป็นแนวทางที่ได้รับการสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนจากผู้เห็นต่างทางการเมืองหรือหน่วยงานของรัฐ แม้จะมองในเชิงยุทธศาสตร์ได้ว่าเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหว แต่ก็ไม่ควรมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก และไม่ควรพูดแต่ว่าขอให้เป็นกรณีสุดท้าย

สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทำความจริงให้กระจ่าง

ไม่ใช่เพียงแค่การยืนยันว่าศพที่พบเป็นใคร

แต่ต้องทำให้กระจ่างถึงกระบวนการ กลุ่มบุคคล ที่ปฏิบัติการอุ้มฆ่านอกราชอาณาจักรในครั้งนี้ว่าเป็นใคร ได้รับการสนับสนุนจากใคร และใครเป็นคนสั่งการ เพราะกรณีนี้อาจสร้างปัญหาในระยะยาวมากกว่าแก้ปัญหา แม้ฝ่ายที่ถูกกระทำจะไม่มีศักยภาพตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน แต่จะเป็นชนวนสะสมความขัดแย้ง ความคับแค้นใจ และอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ในที่สุด

ถึงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่คนถูกกระทำเป็นคนไทย และคนที่ลงมือกระทำก็น่าจะเป็นคนไทย ดังนั้น หน่วยงานภาครัฐควรเทคแอ็คชั่นเพื่อไขความกระจ่างมากกว่าปัดสวะว่าไม่รู้ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้อง


You must be logged in to post a comment Login