- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 3 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 6 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
สทนช.เปิดแผนบริหารจัดการน้ำชาติ20ปี
นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวระหว่างการสัมมนาเรื่อง “เหลียวหน้า….แลหลังแนวทางการบริหารจัดการน้ำของชาติ 20 ปี ภายใต้การแจ้งเกิด พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561” ว่า พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวนับเป็นกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะทำให้เกิดการบูรณาการการใช้ พัฒนา บริหารจัดการ ฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำที่เป็นเอกภาพ มีมาตรการป้องกันแก้ไขน้ำแล้ง-น้ำท่วม วางหลักเกณฑ์ในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำสาธารณะ มีองค์กรบริหารจัดการน้ำระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และระดับองค์กรผู้ใช้น้ำ สะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อร่วมกันบริหารจัดการน้ำ
นายสมเกียรติกล่าวถึงทิศทางบริหารจัดการทรัพยากรน้ำว่า จะมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้มีความเป็นเอกภาพ ตลอดจนบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถบริหารทรัพยากรน้ำให้มีความสอดคล้องกันทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน 8 เรื่องคือ การจัดสรร การใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ และสิทธิในน้ำ รวมทั้งจะวางหลักเกณฑ์ในการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำสาธารณะ การจัดทำนโยบายและแผนบริหารทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งจะทำให้เกิดองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 3 ระดับคือ ระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และระดับองค์กรผู้ใช้น้ำ
“ขั้นตอนต่อไป สทนช. เตรียมความพร้อมในการนำกฎหมายลูกต่างๆ ได้แก่ การกำหนดพื้นที่ลุ่มนํ้า การอนุญาตการใช้นํ้า และการเก็บค่านํ้า เป็นต้น เพื่อออกไปรับฟังความคิดเห็นในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะการเก็บค่านํ้า ทาง สทนช. อยู่ในช่วงศึกษาการเก็บค่านํ้าของชลประทานและการจัดเก็บค่านํ้าบาดาล เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายมากที่สุด และการใช้น้ำในขั้นพื้นฐานการดำรงชีพจะไม่มีการเก็บค่านํ้าอย่างแน่นอน ส่วนจะเก็บจากอุตสาหกรรมขนาดไหน เก็บอย่างไร จะต้องไปรับฟังความคิดเห็นและศึกษาให้รอบคอบที่สุด”
นายสมเกียรติกล่าวถึงบทบาทของ สทนช. ภายใต้บังคับ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำฯว่า จะทำหน้าที่เป็นเสนาธิการน้ำและเป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) โดยมีหน้าที่และอำนาจสำคัญในการจัดทำผังน้ำเชื่อมโยงการดำเนินงานกับคณะกรรมการลุ่มน้ำ หน่วยงานของรัฐ อปท. และภาคส่วนต่างๆ ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.น้ำฯ อำนวยการและกำกับดูแลโครงการสำคัญระดับชาติหรือโครงการเร่งด่วน ตลอดจนบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะวิกฤตน้ำที่นายกรัฐมนตรีจัดตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ ขณะที่ สทนช. มีบทบาทหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการลุ่มน้ำ และดำเนินการให้มีการจัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคประชาชนและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและจัดทำกฎหมายลำดับรองตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำฯให้เสร็จ เพื่อเป็นกฎหมายในการบริหารทรัพยากรน้ำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย คาดว่าภายใน 2 ปี กฎหมายว่าด้วยการจัดสรรน้ำและการใช้น้ำตามหมวด 4 และกฎหมายว่าด้วยการยื่นคำขอรับใบอนุญาตการใช้น้ำตามมาตรา 104 จะเสร็จ
สำหรับประโยชน์จากการบริหารทรัพยากรน้ำภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำฯ จะทำให้มีนโยบายการบริหารทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ ทำให้มีแผนแม่บทการบริหารทรัพยากรน้ำที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยระดับลุ่มน้ำจะมีแผนแม่บทการใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำ ซึ่งจะเป็นแผนที่ที่กำหนดทางเดินให้ไปถึงจุดหมาย ทำให้มีความมั่นคงและยั่งยืนด้านน้ำ มีการบริหารจัดการน้ำครอบคลุมทุกบริบทของน้ำ ทั้งน้ำในบรรยากาศ น้ำบนดิน น้ำใต้ดิน และน้ำทะเล ตลอดจนบริหารจัดการโดยองค์กรระดับชาติ ระดับลุ่มน้ำ และองค์กรผู้ใช้น้ำ ขณะที่ประชาชนก็จะมีสิทธิใช้น้ำตามสิทธิขั้นพื้นฐาน และมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ที่สำคัญคือ จะทำให้ประเทศไทยมีแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้งและแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วมที่บูรณาการร่วมกับแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติทั้งในภาวะปรกติและภาวะวิกฤต
นอกจากนี้ สทนช. จะเร่งขับเคลื่อนแผนแม่บทบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ให้สอดคล้องกับพื้นที่เป้าหมายทั่วประเทศ 66 พื้นที่ แบ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาด้านน้ำ 53 พื้นที่ รวม 34.62 ล้านไร่ น้ำท่วม 11.24 ล้านไร่ น้ำแล้ง 6.87 ล้านไร่ ประสบปัญหาทั้งน้ำท่วมและน้ำแล้ง 16.51 ล้านไร่ ปัญหาน้ำเค็มรุกล้ำ 0.001 ล้านไร่ และพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ 13 พื้นที่ 10.81 ล้านไร่ ส่วนที่พร้อมดำเนินการปี 2562 จำนวน 7 แห่ง วงเงิน 29,660 ล้านบาท ปี 2563 จำนวน 46 แห่ง วงเงิน 921,273 ล้านบาท ปี 2564 จำนวน 52 แห่ง วงเงิน 189,755 ล้านบาท ปี 2565 จำนวน 7 แห่ง วงเงิน 76,738 ล้านบาท รวมทั้งศึกษา SEA ใน 5 ลุ่มน้ำสำคัญ ได้แก่ สะแกกรัง ปราจีนบุรี-บางปะกง ภาคใต้ฝั่งตะวันออก ชี มูล เป็นต้น
You must be logged in to post a comment Login