วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ก่อนเข้าสวรรค์และลงนรก

On January 31, 2019

คอลัมน์ สันติธรรม
ก่อนเข้าสวรรค์และลงนรก
โดย บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข 4-11 กุมภาพันธ์ 2562)

หากศึกษาให้ลึกซึ้งถึงแก่นธรรมของศาสนา เราจะพบว่าคำสอนหลักๆของทุกศาสนามีความละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ที่มีลัทธินิกายต่างๆเกิดขึ้นก็เพราะศาสนิกผู้นับถือศาสนานั้นมีความเข้าใจในคำสอนต่างกัน หรือไม่ก็มีคนนำคำสอนของศาสนาไปอธิบายเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของตน

ทุกศาสนามีคำสอนเรื่องนรกและสวรรค์ซึ่งเป็นโลกหลังความตายที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นและวิทยาศาสตร์ไม่สามารถพูดอะไรได้ แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็เชื่อว่าสวรรค์และนรกมีอยู่จริงแม้ตาจะมองไม่เห็นก็ตาม บางคนมีความเชื่อว่าสวรรค์มีอยู่จริงถึงขั้นปิดบัญชีโลกเอาเงินไปฝากไว้ในบัญชีธรรมเพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ก็มี
hell
ศาสนายืนยันว่าสวรรค์และนรกมีอยู่จริงในภพหน้าหรือโลกหลังความตาย เพราะถ้าสวรรค์และนรกไม่มีอยู่ มนุษย์จะไม่ได้รับความยุติธรรมที่สมบูรณ์ ศาสนาจะไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมให้แก่มนุษย์ได้เลย หากเป็นเช่นนี้มนุษย์ก็ไม่จำเป็นต้องมีศาสนา เช่นเดียวกับไม่จำเป็นต้องมีศาลถ้าหากศาลไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมได้

ศาสนาคริสต์ก็มีความเชื่อในเรื่องสวรรค์และนรก แต่ศาสนาคริสต์มีคำสอนว่าก่อนที่มนุษย์จะเข้าสวรรค์และนรก มนุษย์ต้องผ่านกระบวนการตัดสินโดยพระเจ้าในวันแห่งการพิพากษาที่จะมีขึ้นเมื่อโลกถึงกาลอวสานเสียก่อน เพราะพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมจะไม่เอามนุษย์ทั้งหมดเข้าสวรรค์หรือลงนรกโดยไม่มีการแยกแยะเป็นอันขาด วันพิพากษาจึงเป็นหลักความเชื่อสำคัญของศาสนาคริสต์

ชาวยิวก็มีความเชื่อในเรื่องสวรรค์และนรกเช่นกัน ในคัมภีร์กุรอานกล่าวว่า ชาวยิวบางกลุ่มที่มีอคติทางเชื้อชาติถือว่าพวกตนเป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกและเป็นที่รักของพระเจ้ามากกว่ามนุษย์เผ่าพันธุ์อื่น หากชาวยิวทำชั่ว พวกเขาจะตกนรกเพียงไม่กี่วัน นบีมุฮัมมัดจึงท้าทายว่าถ้าเชื่อเช่นนั้นก็ลองตายดูเดี๋ยวนี้เลยจะได้ไปสวรรค์เร็วๆ

การมีอยู่ของสวรรค์และนรกเป็นหลักศรัทธาขั้นพื้นฐานของอิสลาม มุสลิมคนใดปฏิเสธความเชื่อในเรื่องนี้ถือว่าพ้นสภาพจากการเป็นมุสลิมทันที เพราะการปฏิเสธสวรรค์และนรกก็เท่ากับการปฏิเสธความเชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้าโดยปริยาย

ส่วนในเรื่องวันพิพากษานั้น มุสลิมถูกกำหนดให้อ่านถ้อยคำวรรคหนึ่งซึ่งตอกย้ำความเชื่อเรื่องนี้ในการละหมาดทุกครั้งว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในวันตัดสินตอบแทน” เพื่อเป็นการเตือนใจให้สังวรตนในการใช้ชีวิต

นอกจากนี้แล้วอิสลามยังมีคำสอนที่บอกให้รู้ว่าก่อนเข้าสู่กระบวนการตัดสินโดยพระเจ้าในวันพิพากษา มนุษย์ต้องฟื้นขึ้นมาในสภาพที่มีร่างกายเหมือนอยู่ในโลก มีผิวหนังที่จะรับความเจ็บแสบปวดร้อนจากการถูกลงโทษเพราะความผิดบาปที่ทำไว้ในโลกนี้และยังไม่ถูกลงโทษหรือถูกลงโทษไม่สาสมกับความผิดบาปที่ทำไป มนุษย์ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในโลกหน้าจะมีตาที่มองเห็นสิ่งสวยงามในสวรรค์แล้วเกิดความสุขเป็นรางวัลการตอบแทนความดีที่ยังไม่ได้รับหรือได้รับไม่เหมาะกับความดีที่ทำไว้

คำสอนเรื่องการฟื้นคืนชีพขึ้นมาเป็นตัวตนอีกครั้งหลังความตายนี้เป็นอีกคำสอนหนึ่งที่ชาวอาหรับสมัยก่อนหน้าอิสลามเห็นเป็นเรื่องตลกและหัวเราะเยาะใส่นบีมุฮัมมัดอย่างหยาบคาย

ด้วยเหตุนี้ในคัมภีร์กุรอานจึงมีตัวอย่างของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่อธิบายให้เห็นถึงการฟื้นคืนชีพในสภาพเดิมอีกครั้งหนึ่ง เช่น แผ่นดินที่แห้งแล้งจนใครๆคิดว่าคงไม่มีชีวิตเกิดขึ้นได้อีก แต่เมื่อฝนตกลงมาไม่นาน พอดินฉ่ำน้ำชุ่ม ผืนดินที่ตายแล้วจะมีต้นอ่อนของพืชพรรณนานาชนิดงอกขึ้นมา การฟื้นคืนชีพหลังความตายก็ไม่ต่างไปจากนี้

การเกิดใหม่ในสภาพเดิมหลังความตายจึงไม่ใช่เรื่องเกินความจริง ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละคน และความเชื่อในเรื่องนี้มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ในขณะยังมีชีวิต

นบีมุฮัมมัดได้กล่าวไว้ว่า ถ้าพระเจ้าจะประทานความดีแก่ใคร พระองค์จะให้คนผู้นั้นมีความเข้าใจศาสนาก่อน


You must be logged in to post a comment Login