วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

10 บริษัทพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดของไทย

On February 1, 2019

ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธาน ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส (www.area.co.th) ได้สำรวจโครงการที่อยู่อาศัยทั้งหมดมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2537 ถึงปัจจุบัน ได้พบบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่สุด 10 บริษัทที่บางบริษัทยังเปิดตัวโครวการมากกว่าการเคหะแห่งชาติเสียอีก

อันดับที่ 1 คือ บมจ. พฤกษา เรียลเอสเตท ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 654 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 230,122 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 488,286 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 เช่นกัน โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.122 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาสินค้าทุกระดับราคาแต่โดยเฉลี่ยมีราคาค่อนข้างต่ำเพราะมีสินค้าราคาถูกเป็นจำนวนมาก สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 614 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 219,528 หน่วย รวมมูลค่า 461,849 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.104 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 40 โครงการ เป็นหน่วยขายทั้งหมด 10,594 หน่วย แต่ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเป็นอันดับที่ 4 รวมมูลค่า 26,437 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.495 ล้านบาท

อันดับที่ 2 คือ บมจ. แอล พี เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 128 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 117,369 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 172,222 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 1.467 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทที่มีราคาขายต่อหน่วยต่ำที่สุด สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 120 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 106,596 หน่วย รวมมูลค่า 158,719 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 1.489 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 8 โครงการ เป็นหน่วยขายทั้งหมด 10,773 หน่วย ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเป็นอันดับที่ 3 รวมมูลค่า 13,504 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 1.253 ล้านบาท ถือว่ามีราคาเฉลี่ยต่ำที่สุดในจังหวัดภูมิภาค

อันดับที่ 3 คือ บมจ. แสนสิริ ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 286 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 87,631 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 354,940 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.050 ล้านบาท สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 233 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 65,483 หน่วย รวมมูลค่า 298,281 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.555 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 53 โครงการ เป็นหน่วยขายทั้งหมด 22,148 หน่วย ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเป็นอันดับที่ 1 รวมมูลค่า 56,659 ล้านบาทท ถือว่ามีมูลค่าการพัฒนาในภูมิภาคอันดับที่ 1 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.558 ล้านบาท

อันดับที่ 4 คือ บมจ. ศุภาลัย ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 228 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 84,607 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 248,800 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.941 ล้านบาท สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 146 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 66,034 หน่วย รวมมูลค่า 198,032 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.999 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 82 โครงการ เป็นหน่วยขายทั้งหมด 18,573 หน่วย ถือเป็นบริษัทที่พัฒนาที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเป็นอันดับที่ 2 รวมมูลค่า 50,769 ล้านบาทท ถือว่ามีมูลค่าการพัฒนาในภูมิภาคอันดับที่ 2 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.733 ล้านบาท

อันดับที่ 5 คือ บมจ. เอ.พี. (ไทยแลนด์) ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 229 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 72,188 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 313,315 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทพัฒนาที่ดินที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.340 ล้านบาท ถือว่าเป็นบริษัทที่มีราคาขายต่อหน่วยสูงเป็นอันดับที่ 2 สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 227 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 71,327 หน่วย รวมมูลค่า 311,736 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.371 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 2 โครงการ เป็นหน่วยขายทั้งหมด 861 หน่วย รวมมูลค่า 1,579 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 1.834 ล้านบาท

อันดับที่ 6 คือ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 238 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 64,415 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 307,501 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.774 ล้านบาท ถือว่าเป็นบริษัทที่มีราคาขายต่อหน่วยสูงสุด สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 200 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 56,658 หน่วย รวมมูลค่า 271,055 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.784 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 38 โครงการ เป็นหน่วยขายทั้งหมด 7,757 หน่วย รวมมูลค่า 36,446 ล้านบาทท ถือว่ามีมูลค่าการพัฒนาในภูมิภาคอันดับที่ 3 โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.698 ล้านบาท ถือว่ามีราคาเฉลี่ยสูงสุดในภูมิภาค

อันดับที่ 7 คือ บมจ. ควอลิตี้ เฮ้าส์ ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 179 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 46,649 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 189,011 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.052 ล้านบาท สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 148 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 39,840 หน่วย รวมมูลค่า 170,001 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.267 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 31 โครงการ เป็นหน่วยขายทั้งหมด 6,809 หน่วย รวมมูลค่า 19,010 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.792 ล้านบาท

อันดับที่ 8 คือ บมจ. อนันดาดีเวลลอปเม้นท์ ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 73 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 45,039 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 190,034 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.219 ล้านบาท ถือว่าเป็นบริษัทที่มีราคาขายต่อหน่วยสูงเป็นอันดับที่ 3 สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 73 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 45,039 หน่วย รวมมูลค่า 190,034 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 4.219 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคไม่ได้ดำเนินการเลย

อันดับที่ 9 คือ บมจ. พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 127 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 41,935 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 151,145 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.604 ล้านบาท สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 126 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 41,729 หน่วย รวมมูลค่า 150,076 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.596 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 1 โครงการ เป็นหน่วยขายทั้งหมด 206 หน่วย รวมมูลค่า 1,069 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 5.190 ล้านบาท

อันดับที่ 10 คือ บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ตลอดช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด พัฒนาโครงการไปแล้ว 48 แห่ง รวมหน่วยขายทั้งหมด 20,580 หนวย รวมมูลค่าทั้งหมด 67,832 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.296 ล้านบาท สำหรับในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พัฒนาขึ้นมา 45 โครงการ มีอยู่ทั้งหมด 18,526 หน่วย รวมมูลค่า 62,700 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 3.384 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาคได้ดำเนินการ 3 โครงการ เป็นหน่วยขายทั้งหมด 2,054 หน่วย รวมมูลค่า 5,132 ล้านบาทท โดยมีราคาเฉลี่ยหน่วยละ 2.499 ล้านบาท

สังเกตได้ว่า บมจ.อนันดาดีเวลลอปเม้นท์ และ บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (อันดับที่ 8 และ 10) เป็นบริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 นับเป็นบริษัท “ดาวรุ่ง” ที่เติบโตเร็วที่สุด อีกประการหนึ่ง บมจ.พฤกษาเรียลเอสเตท สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในระยะเวลาเกือบ 30 ปี ได้มากกว่าการเคหะแห่งชาติที่ตั้งมา 46 ปีเสียอีก นอกจากนี้บริษัทขนาดใหญ่เหล่านี้ยังไม่ต้องรับเงินอุดหนุนจากทางราชการ และยังสร้างงาน สร้างรายได้ (ภาษี) เข้าหลวงอีกต่างหาก


You must be logged in to post a comment Login