วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

375+ #มึงมาไล่ดูสิ

On February 7, 2019

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

 (โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  8-15 กุมภาพันธ์  2562)

วาทกรรม “#มึงมาไล่ดูสิ” พุ่งปรี๊ดขึ้นอันดับ 1 ทวิตเตอร์ไทย เพียงไม่กี่ชั่วโมงมีติดแฮชแท็กมากกว่า 145,000 ครั้ง หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แสดงความเกรี้ยวกราดช่วงท้ายการแถลงผลงานรัฐบาลปีที่ 4 (1 กุมภาพันธ์) ที่ทำเนียบรัฐบาล แม้ในวันรุ่งขึ้น พล.อ.ประยุทธ์จะออกมา “ขอโทษ” ก็ตาม

“4 คนที่เขาลาออกไป เขาไม่ได้ทำผิดอะไรเลย เขาทำเยอะแยะไปหมด แต่เขาขอลาผม เขาอยากไปทำการเมืองให้เต็ม ทั้งที่เขาอยู่ได้ตามกฎหมาย อย่าไปไล่ล่ากันมากนัก เดี๋ยวจะไปไล่รัฐมนตรีออก เดี๋ยวจะไล่นายกฯออก ก็กฎหมายเขามาอย่างนี้ มึงมาไล่ดูสิ …ไล่สิ ไล่ให้ได้ ผมไม่ท้าทาย แต่ผมไม่ออก”

“โอบามา-สี จิ้นผิง” ก็ไม่ได้ลาออก

พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงรัฐมนตรีในอดีตที่ลาออกเพราะปัญหาเรื่องการทุจริต แตกต่างกับ 4 รัฐมนตรีที่ไปทำงานการเมืองและเป็นแกนนำจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐที่ไม่ได้มีความผิดใดๆ การไม่ลาออกจากตำแหน่งก็ไม่ได้สร้างความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง

เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ หากเป็น “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ในบัญชีของพรรคพลังประชารัฐก็ไม่จำเป็นต้องลาออก ซึ่งทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม ผู้นำรัฐบาลก็ไม่เคยมีใครลาออกเพื่อมาเลือกตั้ง เช่น นายบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ชิงตำแหน่งครั้งที่สอง หรือประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน

พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่า รัฐธรรมนูญไทยตั้งแต่ปี 2475 ถึงปัจจุบันก็ไม่เคยกำหนดว่านายกรัฐมนตรีต้องลาออก นักกฎหมายในสังคมอื่น ประเทศอื่น เขาเคารพกติกา เขาไม่มาถกเถียงกันในเรื่องเหล่านี้ แต่บ้านเมืองเราเวลาจะพูดอะไรสักอย่างไม่มองตัวเองว่าเคยพูดเคยทำอะไรที่เสียหายไว้บ้าง ชี้นิ้วมาที่ตนเสมอว่าทำผิด ไม่เคารพกฎหมายและกติกา เพื่อประโยชน์ใคร ก็เพื่อส่วนตัวทั้งสิ้น

“4 รัฐมนตรีของผมออก เขาไม่ได้ออกเพราะผมไปกดดันว่าต้องออกๆ ผมรู้ว่ากฎหมายไม่ต้องลาออก ผมอยากให้เขาทำงาน แต่เขาจะไปทำพรรคการเมืองก็ต้องปล่อยเขาไป ผมก็ต้องหาคนทำแทนให้ได้ แล้วอย่ามาคิดว่าลาออกเพราะกลัว เขาไม่ได้กลัวท่านหรอก อะไรที่พูดๆมา เสร็จแล้วก็มากดดันนายกฯ กดดันผมไม่ได้ ผมเคารพกฎหมาย”

แขวะ “อภิสิทธิ์” เป็นรัฐบาลยังแพ้

พล.อ.ประยุทธ์ถามว่า การเลือกตั้งปี 2554 ใครเป็นนายกฯ ลาออกหรือไม่ ก็ไม่ออก แล้วไปหาเสียง ครม.สัญจรด้วย ส่วนการเลือกตั้งปี 2557 นายกฯอีกคนกับ ครม. ลาออกหรือไม่ ก็ไม่ออก อย่ามาพูดส่งเดช รัฐมนตรีที่ออกไปเพราะเรื่องปลากระป๋อง มีความผิดจึงต้องออก แต่ 4 รัฐมนตรีของรัฐบาลขอลาออก ไม่ได้มีความผิดอะไรเลย และยังทำงานเยอะแยะ

“ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แพ้การเลือกตั้งปี 54 ในการแข่งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำไมแพ้ล่ะ เป็นรัฐบาลหรือเปล่า ทำไมแพ้ แสดงว่าการเป็นรัฐบาลไม่น่าจะทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นมาแต่อย่างใด ขึ้นอยู่กับรัฐบาลมีผลงานหรือไม่ หากไม่มีประชาชนก็ไม่เลือกอยู่แล้ว ก็ไปหวังในสิ่งใหม่ๆ ที่เขาพูดออกมาจริงบ้างไม่จริงบ้าง นั่นคือการเมืองไทย”

พล.อ.ประยุทธ์ยังชี้แจงความแตกต่างระหว่างรัฐบาลรักษาการกับรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มว่า เรื่องห้ามโยกย้ายข้าราชการโดยไม่จำเป็น ตนก็ดูอยู่ ไม่จำเป็นก็ไม่อยากย้าย รวมถึงห้ามใช้งบประมาณผูกพัน เว้นแต่ที่จำเป็นและกรณีเร่งด่วน ถ้าไม่เร่งด่วนก็ไม่อยากใช้

ส่วนที่ไม่ลาออกและต้องอยู่ในตำแหน่ง เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 264, 265 สั่งให้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องอยู่ต่อจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ลาออกไม่ได้ ถ้านายกฯลาออก ครม. ก็ต้องออกทั้งหมด แล้วใครจะอยู่จัดงานพระราชพิธี ส่วนการลงพื้นที่ (ครม.สัญจร) แต่ละครั้งก็ไม่ได้ไปหาเสียง

วาทกรรม “ลุงหัวร้อน”

ความจริงคำพูดที่ก้าวร้าวรุนแรงของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็ใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมหลายครั้ง อย่างที่ “ไทยรัฐออนไลน์” (1 กุมภาพันธ์) ได้รวบรวม “วาจาหัวร้อน” ของ พล.อ.ประยุทธ์ในวาระต่างๆที่ฟิวส์ขาดและสบถคำหยาบจนเคยเปรยว่า “ใครด่าจะชกปาก”

ด่า “แบ่งเขต” จะตายห่ากันหรือไง?

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวช่วงหนึ่งระหว่างเป็นประธานประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 5/2561 (30 พฤศจิกายน 2561) ซึ่งมีการไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊ค “สภาพัฒน์” กรณีการแบ่งเขตเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขตของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า

“สื่อที่อยู่ข้างนอกก็ถามกันอย่างเดียวเรื่องการแบ่งเขต แม่งจะตายห่ากันให้หมดหรืออย่างไรก็ไม่รู้กับไอ้เรื่องซังกะบ๊วยพวกนี้”

ด่าคอลัมนิสต์เก่งนักมึงมาบริหาร

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเยือนประเทศบรูไน (25 มีนาคม 2558) โดยมีสีหน้าเคร่งเครียด แสดงอารมณ์โกรธและโมโหตลอดระยะเวลาการให้สัมภาษณ์ รวมทั้งได้มีการเตรียมเอกสารเพื่อชี้แจงต่อผู้สื่อข่าวโดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์มีอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรงถึงขนาดบางช่วงเสียงสั่นและโยนเอกสารใส่ผู้สื่อข่าว โดยการให้สัมภาษณ์ใช้เวลาทั้งสิ้นรวม 23 นาที

“อะไรกันนักหนา ผมไม่เข้าใจ จะต้องเมื่อนี่เมื่อนั่น โดยเฉพาะของผู้จัดการ เปิดอ่านดูไม่ได้สักหน้าหนึ่ง เป็นบ้ากันไปหรืออย่างไร เขียนอะไรไม่รู้กันทุกวัน จะเอาอะไรกันนักหนา เก่งนักหนามึงมาบริหารงานมา มาเป็น ส.ส. เลย ไอ้ชัชวาลย์ (ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย คอลัมนิสต์) ไอ้โสภณ (โสภณ องค์การณ์ คอลัมนิสต์) พวกนี้ รัฐบาลนี้พูดจาแบบนี้ จะว่าผมก็ว่ามา ยังไงก็รับอยู่แล้ว แต่ผมเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นนายกฯที่ไม่ใช่มนุษย์ ก็มีจิตใจ มีชีวิตและจิตใจ”

ด่า “ไอ้ห่า ไอ้บ้า ขี้ข้า ทำไมวะ”

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ (29 มกราคม 2558) กรณีที่ คสช. ทยอยเรียกนักการเมืองเข้ามารายงานตัวตอนหนึ่งว่า

“ถ่ายรูปได้อย่างไร ผมก็ชี้นิ้วของผมไปเรื่อย ไอ้ห่า ถ่ายออกมาดีๆ ดันไปถ่ายผมชี้นิ้วอย่างนั้นอย่างนี้ นี่แหละที่เขาบอกว่าจิตใจมันต่ำ ด่าที ไม่กลัวหรอก จะด่าแบบนี้จะทำไม”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดการให้สัมภาษณ์ในวันดังกล่าวเป็นไปอย่างดุเดือด และมีการพูดคำสบถหลายคำทั้ง..ไอ้ห่า ขี้ข้า บ้า ทำไมวะ พร้อมสีหน้าที่ไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่พยายามจะบอกว่าที่เสียงดังไม่ได้โมโหแต่อย่างใด

ฉุน “ณัฐวุฒิ” สบถ “โง่ เฮงซวย”

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางเยือนบรูไน (25 มีนาคม 2558) กรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง วิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุระเบิดหลายครั้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่รัฐบาลสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองว่า

“ก็มันโง่ไง แล้วพวกเธอไปโง่ตามเขาหรือเปล่า รัฐบาลและผมจะทำไปเพื่ออะไร คิดดูสิด้วยความเป็นมนุษย์ ฉันมาฉันไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้น แล้วฉันจะมาทำเองทำไม เพื่อที่ฉันอยากจะอยู่อย่างนั้นหรือ”

เมื่อถามว่าจะมีการห้ามปรามอะไรหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่สนใจ เมื่อถามต่อว่าจะเรียกมาปรับทัศนคติอีกครั้งหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่สนใจ เรียกมาแล้วหลายครั้ง แล้วพอเรียกมาจะอย่างไร พอไม่ปล่อยก็หาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ก็แค่นี้ เฮงซวยพวกนี้”

ขู่พวกด่าไม่หยุดจะชกปาก

พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปสวนสัตว์อุบลราชธานี (24 กรกฎาคม 2561) เพื่อมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในพื้นที่เป้าหมายการจัดการที่ดินทำกินให้ชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2

“ที่วิจารณ์ว่าจะต่ออำนาจ จะขยายเวลาต่อ ถามว่าผมได้อะไรกลับมา ทำไมต้องให้คนมาด่า 4 ปีที่ผ่านมาที่ทรมาน เพราะอ่านหนังสือพิมพ์และดูโทรศัพท์ วันนี้เลิกอ่านแล้ว ใครด่าก็ชกปากแล้ว ผมไม่เคยทำร้ายใคร ก็มีสิทธิไม่ให้ใครมาเหยียบย่ำได้”

ฉุนวิจารณ์ซื้อยาง“แล้วจะให้กูทำยังไงวะ”

พล.อ.ประยุทธ์แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (12 มกราคม 2559) ถึงการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ

“1.ท่านบอกให้ผมไปทำถนน 2.ท่านบอกประโยชน์น้อย 3.ใช้งบประมาณเปลือง แล้วจะให้กูทำยังไงวะ ปัดโธ่ กระทรวงมหาดไทยจะทำถนนเส้นทางในหมู่บ้านก่อน พอแล้ว ผมขี้เกียจตอบคุณ ต่อไปนี้ผมจะตอบแต่นโยบายอย่างเดียว ผมสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ไปถามเขา”

สะท้อน “ความเป็นทหาร”ปฏิเสธประชาธิปไตย

แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะมีอารมณ์ฉุนเฉียวและหัวร้อนบ่อยครั้ง แต่มักจะออกมา “ขอโทษ” ว่าเป็นคนก็ต้องมีอารมณ์โกรธเป็นธรรมดา คำด่า คำหยาบ และคำขอโทษจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ ประชาชนและสื่อจึงคุ้นชิน ขณะที่นายฐิติพล ภักดีวานิช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มองว่าสะท้อนถึง “ความเป็นทหาร” ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะการพูด หรือการไม่เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์หรือตั้งคำถาม ซึ่งตั้งแต่รัฐบาลเข้ามามีอำนาจเมื่อปี 2557 ก็ไม่มีผลงานอะไรที่โดดเด่น รวมถึงประชาชนในภาคอีสานก็ไม่มีความเชื่อมั่นในการบริหารงานของรัฐบาล

ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันด้วยท่าทีแข็งกร้าวว่าจะไม่ลาออกและจะทำงานจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ไม่ว่าจะโดนกดดันอย่างไร โดยยกตัวอย่างนายบารัค โอบามา และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นั้น นายฐิติพลก็ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้นำเหล่านั้นเข้าสู่อำนาจผ่านกระบวนการประชาธิปไตย ผ่านการเลือกตั้ง ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์เข้าสู่อำนาจด้วยการรัฐประหาร ซึ่งไม่สามารถเทียบเคียงกันได้

ยิ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจเต็มและเป็นหัวหน้า คสช. ทั้งที่ควรเป็นรัฐบาลรักษาการ จึงอาจลดทอนเรื่องความโปร่งใสและเป็นธรรมในการจัดการเลือกตั้ง เพราะพรรคพลังประชารัฐสนับสนุน คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ การหาเสียงหรือทำกิจกรรมของพรรคที่อาจผิดกฎหมาย แต่หน่วยงานรัฐอาจไม่เข้าไปควบคุม

“หลายวาทกรรมของนายกฯแสดงให้เห็นถึงการปฏิเสธประชาธิปไตย และต้องการประชาธิปไตยเพียงแค่เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมแก่อำนาจของตัวเองภายหลังการเลือกตั้งมากกว่า”

“อภิสิทธิ์” ตอกกลับ “ลุงฉุน” ไม่มีสปิริต โกหกบิดเบือน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ที่พาดพิงถึงตนที่เลือกตั้งแพ้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า แปลกใจ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์จะลาออกหรือไม่ก็เป็นสิทธิของตัวเอง ไม่มีสปิริตเป็นสิทธิของท่าน แต่ไม่มีสิทธิมาโกหกบิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจผิด และที่บอกว่ารัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2475 ไม่บังคับให้ลาออก ก็อยากบอกว่าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนเช่นกันที่ให้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. มีอำนาจเต็มและมีอำนาจมากกว่ายุคไหน ปี 2554 ตนไม่มีสิทธิปลด กกต. หรือสั่งให้แบ่งเขตเลือกตั้งอย่างไรก็ได้โดยไม่เป็นไปตามหลักการของกฎหมาย

นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการแพ้เลือกตั้งว่า ยอมรับการตัดสินใจของประชาชน และปี 2554 ที่เป็นรัฐบาลก็ไม่ได้เอาเปรียบ แต่ขอถามว่าพฤติกรรมของรัฐบาลนี้ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาและที่จะทำต่อไปคิดจะเอาเปรียบการเลือกตั้งหรือไม่ การเมืองต้องมีมาตรฐาน ตนแปลกใจที่บอกว่าสร้างมาตรฐานใหม่ที่ 4 รัฐมนตรีลาออก

“เวลาเปรียบเทียบอะไรต้องดูข้อเท็จจริงด้วย ดังนั้น เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ยึดธรรมาภิบาล แพ้ชนะเป็นเรื่องปรกติ ถ้าเราชนะจะเป็นรัฐบาลพร้อมรักษาประชาธิปไตยได้ แต่ถ้าเราได้คนที่มาจากการเลือกตั้งที่ไม่มีจิตวิญญาณของประชาธิปไตย เราก็จะสูญเสียประชาธิปไตยไป และคนที่ไม่มีจิตวิญญาณของการเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ต้น เราก็ไม่เชื่อว่าจะแก้ปัญหา นำพาบ้านเมืองออกจากปัญหาต่างๆได้”

เลิกเล่นปาหี่การเมือง

นายธนา ชีรวินิจ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะนายกฯไม่มีสิทธิพูดจาหยาบคายต่อสาธารณชน เป็นตัวอย่างไม่ดีกับสังคมและเยาวชน ขาดซึ่งวุฒิภาวะของคนเป็นนายกฯ ไม่มีสิทธิพูดความจริงไม่หมด หรือพูดโกหกทำให้ประชาชนสับสน พล.อ.ประยุทธ์เป็นรัฐบาลที่มีอำนาจพิเศษ มีมาตรา 44 สามารถปลดหรือย้ายข้าราชการ แม้กระทั่ง กกต. ที่กำกับดูแลการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลปรกติหรือรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจนี้

“ขอให้ พล.อ.ประยุทธ์เลิกเล่นปาหี่การเมืองเสียที บอกยังไม่ตัดสินใจตอบรับเข้าบัญชีนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ แต่พรรคพลังประชารัฐได้ประโยชน์จากการนำนโยบายของรัฐบาลในการหาเสียงล่วงหน้า ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ทราบดีมาโดยตลอด จึงปฏิเสธไม่ได้ถึงความเกี่ยวพันระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับรัฐบาลนี้ สังคมไทยทราบดีว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่บัญชีพรรคพลังประชารัฐแน่ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เป็นชายชาติทหารต้องกล้าพูดความจริง เพราะเป็นเรื่องของบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว”

นายธนายังกล่าวถึงอดีตรัฐมนตรีที่ลาออกเพราะเรื่องปลากระป๋องว่า เพื่อแสดงสปิริตทางการเมืองให้มีการตรวจสอบได้อย่างเต็มที่ และ ป.ป.ช. ก็ชี้มูลว่าไม่มีความผิด ขอให้ศึกษาข้อมูลให้ถ่องแท้ และอย่าโกหกประชาชน

คำพูดตกมาตรฐาน

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ใช้คำไม่สุภาพ “#มึงมาไล่ดูสิ” ว่า ไม่เหมาะสมอย่างมากและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับเยาวชน ส่วน 4 รัฐมนตรีที่ลาออก เพราะทนอับอายและทนกระแสสังคมกดดันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการเกรี้ยวกราด เพราะมีการศึกษาที่ดี และรู้ดีว่า ครม.รักษาการเป็นการเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น ดังนั้น จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ศึกษาเป็นตัวอย่าง นายกรัฐมนตรีต้องมีบรรทัดฐานที่สูงกว่ารัฐมนตรี และเป็นตัวอย่างให้กับคนทั้งประเทศ

นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ “โอ๊ค” ทวีตข้อความในทวิตเตอร์กรณีวิพากษ์วิจารณ์คำว่า “มึงมาไล่ดูสิ” ว่า “จะท้าทายอย่างไร..เราอย่าได้หลงกล “ออกไปไล่เขา” เรา “ทน” กับคำพูดแบบนี้กันมาเกือบ 5 ปีแล้ว เหลือเวลาอีกเพียง 51 วัน “ทดสอบความอดทนกันอีกนิด” ท่องเอาไว้ “ยังไงก็ต้องเลือกตั้ง” อย่าให้เขาเอาประเด็นความวุ่นวายมาอ้างได้อีก 24 มี.ค. บอกลาเผด็จการ เดินหน้า ปชต. #ไปต่อไม่รอแล้วนะลุง”

นักเลงกระจอก

วาทกรรม “มึงมาไล่ดูสิ” ยิ่งถูกตอกย้ำมากขึ้นเมื่อนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายธนวัฒน์ วงศ์ไชย หรือบอล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ประธานและประธานยุทธศาสตร์ สหภาพนักเรียนนักศึกษาแห่งประเทศไทย พร้อมกลุ่มเพื่อนนักศึกษา ทำกิจกรรมอ่านจดหมายเชิญประยุทธ์ลาออกจากตำแหน่ง (2 กุมภาพันธ์) เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกภายหลังพรรคพลังประชารัฐเทียบเชิญให้เป็นผู้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อไม่ให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการเลือกตั้ง ซึ่งได้เปรียบจากสถานะหัวหน้ารัฐบาลที่มีอำนาจและอำนาจมาตรา 44 ในฐานะหัวหน้า คสช. โดยนำพริก เกลือ และกระเทียม แขวนไว้บริเวณรั้วทำเนียบรัฐบาล

ภายหลังอ่านแถลงการณ์นายพริษฐ์และนายธนวัฒน์ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไป สน.ดุสิต แจ้งข้อหาจัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้าตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และยึดของกลางเป็นพริกแห้ง 1 ถุง เกลือ 1 ถุง และกระเทียม 1 พวง ก่อนปล่อยตัวชั่วคราวและนัดให้ไปขึ้นศาลแขวงดุสิตอีกครั้ง

“เพนกวิน” ได้โพสต์ข้อความสั้นๆผ่านเฟซบุ๊ค Parit Chiwarak ว่า “มีประเทศไหนบ้างที่ห้ามไม่ให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นถึงรัฐบาลที่หน้าทำเนียบ จะคุยกับรัฐบาลก็ต้องไปที่ทำเนียบสิครับ กฎหมายอารยประเทศเขาไม่ทำเช่นนี้ น่าจะมีแต่กฎหมายโจรนั่นแหละครับ..#มึงมาไล่ดูสิ #กูมาไล่แล้ว”

ขณะที่กระแสในโซเชียลมีเดียก็มีการโพสต์และตั้งคำถามว่า “นักเลงกระจอก” ออกปากท้าทายเอง คนจริงเขาก็มา ไปจับเขาทำไม น้องๆนักศึกษาที่ทำกิจกรรมอ่านจดหมายเชิญประยุทธ์ออกถูกพาตัวไปตั้งข้อหาขัด พ.ร.บ.การชุมนุมฯ

“ธนาธร” อัดลุแก่อำนาจ

ที่น่าสนใจคือ Brian Davidson เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ได้เชิญนายพริษฐ์และนายธนวัฒน์ให้มาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านพักเอกอัครราชทูต ถนนวิทยุ ซึ่งมีตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆและภาคประชาสังคมร่วมในงานเลี้ยงด้วย โดยนายธนวัฒน์เปิดเผยว่า ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่อง civil society and political participation in Thailand ที่จัดโดยสถานทูตอังกฤษ

ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีนายพริษฐ์และนายธนวัฒน์ถูกควบคุมตัวหลังทำกิจกรรมเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆกับสิ่งที่ออกมาขอโทษ เพราะถ้ารู้สึกผิดก็ต้องไม่จับกุมตัว 2 นักศึกษา การจับกุมครั้งนี้แสดงให้เห็นว่านี่คือรัฐบาลที่ลุแก่อำนาจ

“ตัวเองเป็นคนไปท้าทายประชาชน เมื่อประชาชนลุกขึ้นมาตอบสนองความท้าทาย ซึ่งเกิดจากการไม่มีวุฒิภาวะของผู้นำ ควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ คุณก็ไปจับเขา นี่คือการไม่ยอมรับความผิด ไม่ได้เป็นการรู้สึกขอโทษ การชุมนุมของประชาชนตอนนี้เป็นไปอย่างถูกกฎหมาย เพราะมีการปลดล็อกแล้ว เหตุผลเดียวที่จับกุมผู้ชุมนุมในวันนี้เพราะต้องการปิดปากประชาชน”

ผู้มีอำนาจหน้าบาง

นอกจากการจับกุมนายพริษฐ์และนายธนวัฒน์แล้ว รัฐบาล คสช. ยังถูกประณามเรื่องการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลขอความร่วมมือไม่ให้ล้อการเมืองในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ติดตามการเตรียมงานของนักศึกษาไม่ให้ทำหุ่นล้อการเมืองรูป พล.อ.ประยุทธ์และคณะรัฐมนตรี

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า (5 กุมภาพันธ์) ไม่เคยสั่งห้าม แต่หน่วยงานฝ่ายความมั่นคงขอความร่วมมือ ถ้าไม่ร่วมมือก็เป็นเรื่องของท่าน อย่ามาอ้าง คสช. หรืออ้างเรื่องมาตรา 44

“อย่าไปทำอะไรให้เกินเลยจนอาจทำให้เรื่องต่างๆในประเทศชาติเกิดความเสียหาย การสร้างความสนุกสนานต้องมีมาตรฐานของตัวเองกันบ้าง ถ้าทุกคนอ้างแต่ต้องมีประชาธิปไตย มันจะใช่ แต่ต้องรู้ด้วยว่าการทำอะไรให้มันควรแค่ไหน อย่างไร ไม่ใช่เอาทุกอย่างมาเล่นทั้งหมด” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ถ้าไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกก็สะท้อนถึงความอ่อนไหวบอบบางของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน เพราะเพียงแค่การล้อการเมืองหรือสะท้อนปัญหาสังคมในปัจจุบันไม่ได้ทำให้รัฐบาลล้มครืนภายในวันเดียว โดยเฉพาะช่วงนี้ที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบก่อนตัดสินใจไปเลือกตั้ง

นายธนาธรกล่าวว่า การจำกัดสิทธิเสรีภาพเกิดขึ้นในยุค คสช. อย่างต่อเนื่อง การห้ามต้องมีความจำเป็นเท่านั้น แต่รัฐบาลนี้ละเมิดสิทธิเสรีภาพครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่สมเหตุสมผล ไม่ได้ทำเพื่อความมั่นคงของชาติและประชาชน แต่เพื่อความมั่นคงของ พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น

รับคำท้าไล่ “ประยุทธ์”

นายปิยบุตรยังได้โพสต์ความเห็นผ่านเฟซบุ๊ค Piyabutr Saengkanokkul (1 กุมภาพันธ์) “อย่าเอาอำนาจที่มาจากรัฐประหารไปเทียบกับอำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง” กรณี พล.อ.ประยุทธ์ใช้คำ “มึงมาไล่ดูสิ” ประกาศไม่ลาออกแม้พรรคพลังประชารัฐได้มีมติเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี โดยยกเหตุผลสารพัด ทั้งเรื่องรัฐธรรมนูญ กฎหมาย อ้างถึงประธานาธิบดีสหรัฐ จีน นายอภิสิทธิ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า

“จริงๆแล้ว พล.อ.ประยุทธ์คงลืมไปว่าตนเองไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้มาจากความเห็นชอบของสภาที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีประชาชนเลือกมา แต่ พล.อ.ประยุทธ์และพวกก่อรัฐประหาร นำกำลังทางทหารออกมายึดอำนาจในขณะที่ตนเองเป็นผู้บัญชาการทหารบก

หาก พล.อ.ประยุทธ์ติดใจอยากเล่นการเมืองต่อ อยากลองเป็นนายกฯจากการเลือกตั้ง ก็ควรรีบคืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็วแล้วลงมาสมัครรับเลือกตั้ง แต่นี่กลับครองอำนาจมา 5 ปี ยาวนานกว่ารัฐบาลเลือกตั้ง จัดการฉีกกติกาแล้วเขียนกติกากันเอง และกำลังจะใช้รัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือในการสืบทอดอำนาจอีก กลายเป็นเรื่องย้อนแย้งอย่างยิ่งที่สังคมไทยต้องทนเห็นคนที่ฉีกรัฐธรรมนูญกลับอ้างรัฐธรรมนูญ อ้างกฎหมายทุกวัน

ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันไม่ลาออก และท้าทายคนที่เรียกร้องให้ลาออกว่า “มึงมาไล่ดูสิ” ประชาชนก็จะรับคำท้านี้ไว้ แม้ พล.อ.ประยุทธ์เคยไล่คนอื่นออกจากนายกรัฐมนตรีด้วยกำลังทางทหาร แต่ครั้งนี้ประชาชนจะขอรับคำท้าไล่ พล.อ.ประยุทธ์ออกจากตำแหน่งอย่างอารยชนด้วยการออกเสียงลงคะแนน 24 มีนาคม 2562 ร่วมมือกันกากบาทเพื่อไล่ พล.อ.ประยุทธ์ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยุติการสืบทอดอำนาจ คสช.”

ต่างชาติชี้ทหารมี 3 ทางเลือก

หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์นำเสนอรายงานวิเคราะห์ทางเลือกของ พล.อ.ประยุทธ์ที่จะมีอำนาจภายหลังการเลือกตั้งว่า ที่ผ่านมาผู้นำรัฐบาลจากรัฐประหารของไทยมักใช้ท่าทีข่มขู่ที่จะใช้มาตรการเข้มในการแก้ไขปัญหา ล่าสุดเมื่อเผชิญกับวิกฤตหมอกควันก็ขู่ที่จะห้ามใช้รถเครื่องยนต์ดีเซล บังคับให้ใช้รถยนต์ร่วมกัน และอนุญาตให้ใช้รถสลับวันคู่วันคี่ แต่หาก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อก็จะต้องรับมือกับการต่อรองทางการเมือง การอภิปรายอย่างดุเดือด และการตอบโต้อย่างเผ็ดร้อนในสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่มีอำนาจกว้างขวางตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเป็นตัวช่วย

ปีเตอร์ มัมฟอร์ด สถาบันที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง ยูเรเชีย กรุ๊ป อดีตนักการทูตชาวอังกฤษผู้เชี่ยวชาญเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ความเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่เคยผ่านบททดสอบในระบอบประชาธิปไตยที่มีสภาผู้แทนราษฎร ถ้ารับตำแหน่งผู้นำรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งก็จะถูกทดสอบการมีขันติและภาวะทางอารมณ์

พอล แชมเบอร์ นักวิชาการของมหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำในรัฐบาลชุดใหม่ จะมี 3 ทางเลือกคือ ปรับตัว ลาออก หรือทำรัฐประหารตัวเองเหมือนจอมพลถนอม กิตติขจร ปี 2514

เควิน ฮิววิสัน ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา วิทยาเขตชาเพลฮิลล์ มองว่า พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเผชิญกับการเมืองทั้งในสภาและนอกสภา ซึ่งจะรับมือได้ไม่ดีนัก และมีความเป็นไปได้ที่จะพยายามควบคุมสื่อและผู้เห็นต่างให้ได้มากที่สุด รวมทั้งการให้กองทัพสนับสนุน

3 ก๊กการเมือง

อย่างไรก็ตาม การยุติการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. วางกลไก ส.ว. 250 คน เพื่อรองรับ “นายกฯคนนอก” หากพรรคพลังประชารัฐและพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้ ตัวแปรสำคัญก็จะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งประกาศมาตลอดว่าจะไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน เช่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่มีทางที่จะร่วมกับพรรคเพื่อไทย

ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในการเสวนาเลือกตั้ง 2562 จุดเปลี่ยนประเทศไทยว่า ส.ว. 250 คือเสียงที่จะกำหนดว่าระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ 2 ก๊กเดิมใครจะเป็นรัฐบาลในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ซึ่งต้องสามารถควบคุมให้รัฐบาลทำตามแผนยุทธศาสตร์ชาติด้วย จึงเป็นไปได้มากที่ พล.อ.ประยุทธ์จะร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยและพรรคเครือข่ายจะต้องได้ ส.ส. เกิน 375 เสียงขึ้นไป หรืออย่างน้อยพรรคเพื่อไทยต้องได้ ส.ส. 251 เสียงขึ้นไป

ถึงเวลาต้องปลด 5 แอก

ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันว่า วันนี้คำว่าการสืบทอดอำนาจน้อยไป อนาคตอยู่ใน 3 เงื่อนไขคือ ฝ่าย คสช. รวบรวมเสียงได้บวก 250 จะเกิดอาการเดียวกับพรรคสหประชาไทยจัดตั้งรัฐบาลผสมในปี 2512 แต่รัฐบาลผสมอายุไม่ยืน แต่ถ้ารวบรวมเสียงไม่ได้ ต้องอาศัยเสียง ส.ว. ตั้งรัฐบาล ก็จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยแบบ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ในปี 2518 ซึ่งมีเงื่อนไขเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเก่งแบบ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ส่วนเงื่อนไขที่ 3 ที่พูดถึงน้อยมากคือ ชัยชนะอย่างพรรคฝ่ายค้านในเมียนมา หรือชัยชนะของพรรคฝ่ายค้านในมาเลเซีย

สถานการณ์ที่เป็นอยู่ทั้งหมดขณะนี้มีโจทย์คือ ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล สิ่งที่จะตามมาคือการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพเป็นโจทย์สำคัญ กองทัพจะถูกกดดันมากขึ้น แต่หากกองทัพยังมีบทบาทต่อไป การเมืองไทยก็จะมีโอกาสย้อนรอยกลับไปสู่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งการเมืองไทยกำลังถูกออกแบบให้เป็นกึ่งเผด็จการ และ คสช. สร้างแอก 5 แอกกับการเมืองไทย จึงต้องปลดแอกคือ แอกที่ 1 แก้ไขรัฐธรรมนูญ แอกที่ 2 รื้อกฎหมายลูกใหม่ทั้งหมด แอกที่ 3 ยกเลิกยุทธศาสตร์ แอกที่ 4 ลดอำนาจ กอ.รมน. และแอกที่ 5 ปฏิรูปกองทัพให้กลับไปเป็นทหารอาชีพ ไม่ใช่ทหารการเมือง

“เราไม่ต้องการนักการเมืองในเครื่องแบบอีกต่อไป ถ้าผู้นำทหารอยากลงเล่นการเมือง ผมว่านั่นไม่ใช่ข้อห้าม แต่ต้องมีกติกา ไม่ใช่เล่นการเมืองในรูปแบบที่เราเห็น วันนี้สิ่งที่เห็นชัด หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย มียุคไหนบ้างที่พรรคทหารประสบความสำเร็จ ตั้งแต่เสรีมนังคศิลา สหประชาไทย และยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นการหลอมรวมจิตวิญญาณครั้งใหญ่ แต่ผมยืนยันกับท่านว่าคงจะประสบความล้มเหลวครั้งใหญ่เช่นกัน..อนาคตนี้ถูกควบคุมมาหลายปี..แต่กองทัพและรัฐบาลทหารคุมไม่ได้อย่างเดียวคือ คุมมือเราในวันที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งไม่ได้” ศ.ดร.สุรชาติกล่าว

ทุกเส้นทางเพื่อสืบทอดอำนาจ

ทุกฝ่ายจึงจับจ้องไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ที่พรรคพลังประชารัฐได้ทำหนังสือเชิญให้เป็น “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ยืนยันว่าถ้าจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อก็จะต้องอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง ซึ่งก็มีเพียงพรรคพลังประชารัฐพรรคเดียว

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับประชาชน แต่ก็เผื่อใจไว้หากไม่ได้เป็นและพร้อมจะทำอะไรก็ได้ แต่ติดอยู่อย่างเดียวคือภาระดูแลประเทศชาติที่มีอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกเยอะแยะ แม้ 3-4 ปีที่ผ่านมาจะทำอะไรดีขึ้นเยอะแยะแล้วก็ตาม

คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์เชื่อมั่นว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 159 กำหนดว่า ส.ส. ต้องพิจารณาเห็นชอบบุคคลที่สมควรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อนายกฯที่พรรคการเมืองเสนอ ซึ่งต้องเป็นพรรคการเมืองที่มี ส.ส. ไม่น้อยกว่าร้อยละห้า คืออย่างน้อย 25 คน จากจํานวน ส.ส. ทั้งหมด 500 คน โดยการเสนอชื่อนายกฯต้องมี ส.ส. รับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่หรืออย่างน้อย 50 คน

หากบุคคลที่ถูกเสนอชื่อไม่สามารถได้รับเลือกเป็นนายกฯจากบัญชีรายชื่อพรรคการเมืองได้ รัฐธรรมนูญก็เปิดช่องในช่วง 5 ปีแรกให้มี “นายกฯคนนอก” ได้

ดังนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถเป็นนายกฯในบัญชีของพรรคพลังประชารัฐจะด้วยเหตุใดก็ตาม ก็ยังสามารถเป็น “นายกฯคนนอก” ได้ แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เสียง ส.ส. และ ส.ว. รวมกันมากกว่าสองในสามของรัฐสภา หรือ 500 คน ซึ่งต้องได้เสียงจาก ส.ส. 250 เสียง เพื่อรวมกับ ส.ว. อีก 250 เสียง แต่หากยังเลือกนายกฯไม่ได้อีกก็อาจใช้มาตรา 44 ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้

375+..แลนด์สไลด์

การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่มีสุญญากาศ แม้พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคฝ่ายประชาธิปไตย จะมีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่ง แต่หากไม่สามารถรวมกันจัดตั้งรัฐบาลได้และไม่เอา “ลุงฉุน” รัฐธรรมนูญก็ยังเปิดช่องให้ “ลุงฉุน” เป็นนายกรัฐมนตรีต่อได้แม้จะไม่สง่างามก็ตาม

ปัญหาคือ “ลุงฉุน” จะอยู่ได้นานแค่ไหนภายใต้รัฐบาลเสียงข้างน้อยและไม่มีอำนาจมาตรา 44 เพราะหากการจัดทำงบประมาณแผ่นดินไม่ผ่านสภา รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้ ไม่ต้องให้ใครมาไล่

หากไล่ไม่ไปและอยากอยู่…ก็มีทางเดียวคือการทำรัฐประหาร “ลุงฉุน” ก็จะมีอำนาจเต็มที่อีกครั้ง จะเป็น “ลุงหัวร้อน” ด่าใคร จับใคร หรือแม้แต่จะ “ฆ่า” ใครก็ไม่มีความผิด

ประชาชนจึงต้องร่วมกัน “เปลี่ยนประเทศ” โดยใช้การเลือกตั้ง 24 มีนาคม เลือกพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่แสดงจุดยืนชัดเจนไม่เอา “ลุงฉุน” และไม่เอา “ระบอบ คสช.” ให้ได้อย่างน้อย 251 เสียง โดยไม่ต้องพึ่งพา “พรรคเก่าแก่”

หรือสร้างปรากฏการณ์ “แลนด์สไลด์” ให้ได้ 375 เสียงขึ้นไป!!??


You must be logged in to post a comment Login