วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

จับตาชัตดาวน์สหรัฐ-เจรจาสงครามการค้า

On February 11, 2019

บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) หรือ AECS ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยให้ความสำคัญกับความเคลื่อนไหวของปัจจัยต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้ครบกำหนดชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐ หลังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงงบประมาณสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโกได้ อีกทั้งการรายงานตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ที่อาจชะลอตัวจากผลกระทบสงครามทางการค้าและภาวะ เศรษฐกิจที่ชะลอตัว

แม้ว่าในสัปดาห์นี้จะมีการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ นาย โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ นายสตีเวน มนูชิน และรองนายกรัฐมนตรีของจีน นายหลิวเหอ แต่ด้วยผู้นำสหรัฐฯ นายโดนัล ทรัมป์ และประธานาธิปดีของจีน นายสี จิ้นผิงยังไม่ได้มีการเจรจาก่อนกำหนดวันขึ้นภาษีสินค้าในวันที่ 2 มีนาคมนี้ ทำให้การเจรจาการค้ายังมีความไม่แน่นอน

ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังมีสัญญาญเชิงบวกด้านการลงทุนมากขึ้น การเลือกตั้งที่มีความคืบหน้าชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ คาดช่วยกระตุ้นให้มีซื้อกลับจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นตาม เพราะดัชนีหุ้นไทย Laggard สุดในกลุ่ม TIP Market โดย YTD นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิตลาดหุ้น Philippines 430 ล้านดอลลาร์, Indonesia 998 ล้านดอลลาร์ และ Thailand 243 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ฝั่ง Valuation จาก Bloomberg Consensus พบว่าตลาดหุ้น ฟิลิปปินส์ ซื้อขายที่ระดับ P/E ปีนี้ที่ 17.6 เท่า, อินโดนีเซีย ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 15.1 เท่า และไทย ซื้อขายที่ระดับ P/E ที่ 14.1 เท่า

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนโดยให้กรอบดัชนี 1,630-1,665 จุด แนลงทุน 3 กลุ่มหุ้นเด่น 1. กลุ่มนิคมและสาธารณูปโภค แนะนำ AMATA, WHA และ EASTWซึ่งได้อานิสงส์บวกทั้งราคาขายและยอดขายพื้นที่ในเขต EEC 2. กลุ่มจำนำทะเบียนรถ แนะนำ SAWAD, MTC และ AMANAH รับผลบวกจากกฎระเบียบมีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยสรุปเบื้องต้นของ ธปท.ระบุถึงการควบคุมผู้ให้บริการในระดับประเทศ และ3.หุ้นกลุ่มที่คาดงบปี 2561 กำไรโตเด่นเมื่อเทียบจากปีก่อน และ Consensus ยังคาดโตต่อในปี 2562 แนะนำ JMT, PLANB และ COM7


You must be logged in to post a comment Login