วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

นิราศในโลกกว้าง

On February 28, 2019

คอลัมน์ โลกอสังหาฯ
นิราศในโลกกว้าง
โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้วันสุข 1-8 มีนาคม 2562)

วันนี้ผมขอแนะนำหนังสือ “นิราศในโลกกว้าง : ดร.โสภณ ชีวิตสุดพอเพียงที่ติดดินไม่หลงติดเปลือก” ที่ผมเขียนไว้เองครับ ไม่ได้มาขายนะครับ แต่มาให้ดาวน์โหลดฟรีๆ แน่นอนครับข้างในมีสาระประโยชน์ให้อ่าน เพราะแต่ละปีผมเดินทางไปต่างประเทศบ่อยมาก อย่างปีที่แล้ว (พ.ศ. 2561) ผมก็เดินทางไปถึง 122 วัน หรือราว 1 ใน 3 ของปีเลยทีเดียว

ผมเดินทางไปต่างประเทศบ่อยมาก เวลาไปต่างประเทศโดยเฉพาะไปคนเดียวผมมักไปแบบประหยัด ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าแต่อย่างใด ไม่ขึ้นเครื่องบินชั้นธุรกิจ ยกเว้นเขาจะออกค่าเครื่องบินชั้นธุรกิจและให้ที่พักฟรีแบบ 5 ดาว เช่น รัฐบาลหรือองค์การสหประชาชาติจัดให้ในฐานะที่เป็นวิทยากรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่บางทีก็โชคดี มีใบหน้าเป็นอาวุธ (ดูแก่) การบินไทยหรือสายการบินบางแห่งก็อัพเกรดให้ผมนั่งชั้นธุรกิจฟรีๆก็มีครับ

ในต่างประเทศผมมักไปพักโรงแรมถูกๆ แต่ก็เลือกสรรว่าน่าจะปลอดภัย ทั้งจากเชื้อโรค โจรภัย หรืออื่นๆ คือถ้ามันเปลี่ยวเปล่าน่าอันตรายเกินไปผมก็ไม่กล้าไปอยู่เหมือนกัน ไม่อยากถูกปล้น และยังอยากอยู่ชดใช้กรรมในโลกอันโหดร้ายไปอีกนานๆ ผมเลือกโรงแรมผ่านเว็บไซต์จองโรงแรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น booking.com agoda.com tripadvisor.com ฯลฯ และหลังๆยังเลือกจองผ่าน Airbnb อีกด้วย
s1
ผมต้องการประหยัด เพราะผมเห็นคุณค่าของเงิน อย่างโรงแรมดีๆคืนละ 200 เหรียญ หรือราว 7,000 บาท ก็มีค่าเท่ากับค่าจ้างประเมินค่าทรัพย์สินที่เป็นบ้านหลังเล็กๆสัก 2 หลังที่ผมให้เพื่อนร่วมงาน (พนักงาน) ของผมออกไปทำงาน กว่าจะได้เงินมาไม่ใช่ง่าย จะเอามาใช้ง่ายๆคงไม่รู้สึกดี ยิ่งถ้าคิดว่ากำไรจากการทำงานประเมินค่าทรัพย์สินชิ้นเล็กๆชิ้นละ 3,000 บาท ได้กำไรประมาณ 600 บาท กว่าจะพักโรงแรมราคา 7,000 ได้ ก็ต้องทำงานถึงเกือบ 12 ชิ้น มันช่างเป็นความสูญเสียเป็นอย่างยิ่ง

ยิ่งจะให้ใช้เงินต่างเบี้ย เพราะรวยจัด ไม่ว่าจะรวยเองหรือโกงเขามา หรืออวดรวยก็ตาม ผมไม่นิยม ไม่ใช่ทางของผม ไม่ใช่วิสัยที่ผมอยากทำ ผมเชื่อว่าคนที่อวดรวยด้วยเครื่องประดับ นาฬิกา (ยืมเพื่อน) หรืออะไรก็ตามนั้น คงเป็นเพราะในตัวเองอาจไม่ได้มีอะไรดีจึงต้องทำตัวให้ดูรวย ต้องเอาสิ่งต่างๆมาประดับให้ตัวเองดูดี เสมือนหนึ่งดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ต้องพึ่งแสงสว่างของดาวฤกษ์นั่นเอง อีกอย่างหนึ่งการทำตัวเท่เหนือคนอื่นเป็นการกดทับคนอื่น ทำให้คนอื่นรู้สึกด้อย ผมถือว่าเป็นการสร้างบาปอย่างหนึ่งโดยไม่จำเป็น
ยิ่งกรณีโรงแรมจะเห็นได้ว่าวันๆหนึ่งเวลาไปต่างประเทศใช้น้อยมาก แต่เช้าต้องออกไปประชุม ดูงาน บรรยาย กว่าจะเลิกก็เย็นย่ำ หรืออาจตกกลางคืนแล้ว วันๆอยู่ในโรงแรมคงแค่ราว 8 ชั่วโมงเท่านั้น ความหรูหราของโรงแรมแทบไม่ได้เสพเอาเสียเลย จึงรู้สึกเสียดายเงิน เอาเงินที่ได้ไปใช้ทางอื่นย่อมดีกว่า บางครั้งอย่างรัฐบาลต่างประเทศให้งบประมาณมาเลยว่าให้นอนโรงแรมคืนละ 150 เหรียญสหรัฐ (เขาออกให้) แต่ผมก็เลือกที่จะนอนในราคาต่ำกว่า

ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า ความรู้ ความสามารถ และความดีของเราต่างหาก เป็นสิ่งที่ทำให้เราดูดีมีคุณค่า ไม่ได้อยู่ที่อาภรณ์หรือการทำตัวให้ดูดี ดูรวย แม้บางครั้งอาจมีคนดูถูกเอาบ้างก็ได้ เช่น ในสมัยที่ผมไปเรียนต่อที่เบลเยียมด้วยทุนสหประชาชาติ รุ่นพี่มักบอกว่าเราต้องทำตัวหรูๆ ใช้ของแพง กินของแพง พวกเด็กฝรั่งจะได้ไม่กล้าดูถูกเรา แต่ผมเลือกที่จะให้เขาซูฮกด้วยความรู้ความสามารถมากกว่า คำดูถูกต่อเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่เราต้องปล่อยวาง ไม่ใส่ใจ ไม่ยึดติด ถึงแม้ว่าในหลายกรณีเราอาจมีสิทธิที่จะทำตัวดูดีแบบนั้นได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ทำ ไม่ยึดติดในวัตถุ ไม่นิยมวัตถุ

อีกหนึ่งเหตุผลของการอยู่อย่างพอเพียง ประหยัด ก็คือการบำเพ็ญทุกรกิริยา ผมหมายถึงการทรมานร่างกายตนเองเพื่อชำระตน เช่น การละเว้นจากกิเลสบางอย่าง เช่น ความสะดวกสบายในการพักอาศัย การเดินเท้าแทนการนั่งรถ แต่คงไม่ได้หมายถึงการทำร้ายตนเอง ผมหวังว่าจะได้ทำให้ตนเองมีความเข้มแข็งทางจิตใจ ไม่ยี่หระต่อสิ่งเร้าด้วย โรงแรมที่ผมไปพักบางแห่งอยู่ห่างจากที่ประชุมราว 3 กิโลเมตร ผมก็ใช้วิธีเดินเท้าไป ถือเป็นการออกกำลังกายไปในตัว บางครั้งผมก็ยืมจักรยานคนรู้จักหรือจากที่พักขี่ไป ได้ประโยชน์ไปอีกแบบ แต่สำหรับในกรุงเทพมหานครผมไม่กล้าขี่จักรยาน กลัวต้องไป “อ่านหนังสือพิมพ์” อยู่กลางถนน เพราะกรุงเทพมหานครในขณะนี้ไม่เหมาะสมกับการขี่จักรยานนัก

ผมยังเคยนอนที่สนามบินมาแล้ว เช่น
1.ที่นครโฮจิมินห์ซิตี ผมไปประเมินที่ดานัง ขากลับเครื่องบินเวียดเจ็ตล่าช้าไปเกือบ 3 ชั่วโมง ต่อเครื่องไม่ทัน จะนอนโรงแรมก็ได้ แต่รุ่งเช้าก็กลับแล้ว จึงนอนที่ที่นั่งม้ายาวในสนามบินเสียเลย มีคนนอนแบบผมเหมือนกัน แต่ต้องเอาแจ๊กเกตไปด้วย เพราะตกกลางคืนแอร์หนาวมาก
2.ที่กรุงจาการ์ตาผมก็นอนบ่อยๆ เครื่องบินถึงที่นั่นราวตี 1.30 รุ่งเช้าต้องทำงานเลย ก็เลยนอนรอที่สนามบินซะเลย
3.ที่นครลอสแอนเจลิสตอนต่อเครื่องต้องรอ 6 ชั่วโมง ก็นั่งหลับมาแล้ว ปรากฏว่าคนข้างๆผ่าเป็นคนเร่ร่อนที่มานอนด้วย (ฮา)
4.ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ผมนอนมาหลายครั้งแล้ว เครื่องบินกลับไทยมีตอนตี 5 หรือตี 4 ของไทย จะนอนโรงแรมก็กลัวเปลือง ก็เลยไปนั่งหลับในเลานจ์ของ Priority Pass จากเที่ยงคืนถึงเช้า แถมยังอาบน้ำให้สะอาดสดชื่นก่อนขึ้นเครื่องได้ฟรีอีกต่างหาก
5.ที่สำคัญคือคราวไปประชุมที่กรุงลอนดอน ผมจองโรงแรมคลาดไปวันหนึ่ง แถวที่ประชุมโรงแรมเต็มก็เลยลองไปถามที่สนามบิน ปรากฏว่านอนได้ และพอดีผมมีบัตรเลานจ์ของ Priority Pass ก็เลยได้นั่งจนถึงเที่ยงคืนแล้วออกมานอนรอนอกเลานจ์ในสนามบิน

ลองอ่านดูนะครับหนังสือเล่มนี้ “นิราศในโลกกว้าง : ดร.โสภณ” เชื่อว่าทุกท่านจะได้สาระและความสนุกสนานจากหนังสือเล่มนี้ ดูตาม link นี้นะครับ : https://bit.ly/2U6cE1n


You must be logged in to post a comment Login