- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 13 hours ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 2 days ago
- อย่าไปอินPosted 5 days ago
- ปีดับคนดังPosted 6 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 7 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 1 week ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 1 week ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 2 weeks ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
ปตท.สผ.ซื้อกิจการเมอร์ฟี่ ออยล์ฯ
กรุงเทพฯ, 21 มีนาคม 2562 – บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อกิจการของ เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ในประเทศมาเลเซีย โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 2,127 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (สรอ.) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณขายปิโตรเลียมได้ประมาณ 15% สร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ทันที และยังชนะการประมูลสิทธิการสำรวจปิโตรเลียมในมาเลเซียอีก 2 แปลง ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าทางธุรกิจครั้งใหญ่ของ ปตท.สผ. ในมาเลเซีย
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า บริษัท พีทีทีอีพี เอชเค ออฟชอร์ จำกัด (PTTEP HK Offshore Limited) หรือ พีทีทีอีพี เอชเคโอ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ปตท.สผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Sale and Purchase Agreement) ทั้งหมดในบริษัทย่อยของ เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ได้แก่ บริษัท เมอร์ฟี่ ซาบาห์ ออยล์ จำกัด และบริษัท เมอร์ฟี่ ซาราวัก ออยล์ จำกัด การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ครอบคลุมแหล่งน้ำมันและแหล่งก๊าซธรรมชาติ จำนวน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการซาบาห์ เค, โครงการเอสเค 309 และเอสเค 311, โครงการซาบาห์ เอช, โครงการเอสเค 314 เอ และโครงการเอสเค 405 บี รวมทั้ง สินทรัพย์ต่างๆ ทั้งนี้ ปตท.สผ. ได้ใช้เงินจากกระแสเงินสดของบริษัท (Cash on hand) ในการเข้าซื้อกิจการ โดยคาดว่าการซื้อขายจะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาส 2 ของปี 2562
“การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นการลงทุนที่มีความสำคัญกับ ปตท.สผ. เพราะเป็นการสร้างการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญทั้งในระยะสั้นและระยะยาวตรงตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ โดยในการลงทุนครั้งนี้คาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณการขายปิโตรเลียมตามสัดส่วนการลงทุนของ ปตท.สผ. ได้ทันทีประมาณ 48,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปริมาณการขายในปัจจุบัน และยังสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ทันทีด้วยเช่นกัน” นายพงศธร กล่าว
สำหรับโครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั้ง 5 โครงการนั้น ตั้งอยู่ในบริเวณรัฐซาบาห์และรัฐซาราวัก โดยมีโครงการที่อยู่ในระยะผลิต ได้แก่ โครงการซาบาห์ เค, โครงการเอสเค 309 และเอสเค 311 ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้ ถือเป็นโครงการที่สำคัญขนาดใหญ่ และปตท.สผ.จะเข้าเป็นผู้ดำเนินการโครงการทันที โดยมีกำลังการผลิตประมาณ 100,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน และจะเพิ่มเป็นประมาณ 140,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ในอีก 4 ปีข้างหน้า จากโครงการซาบาห์ เอช ที่มีแผนจะเริ่มการผลิตในช่วงครึ่งหลังปี 2563 โดยจะผลิตก๊าซธรรมชาติปริมาณ 270 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ให้กับโครงการ FLNG2 ของปิโตรนาส นอกจากนี้ ยังมีโครงการเอสเค 314 เอ โครงการเอสเค 405 บี ซึ่งอยู่ในระยะสำรวจ โดยมีแผนงานที่จะทำการวัดคลื่นไหวสะเทือน และเจาะหลุมสำรวจในอนาคต
“ปตท.สผ. มีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับเมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ให้การรับช่วงเป็นผู้ดำเนินการผลิตและการดำเนินการต่างๆ สำเร็จเป็นไปอย่างราบรื่น ปตท.สผ.ยินดีต้อนรับพนักงานเมอร์ฟี่ทุกท่าน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 600 คน เข้าร่วมสานต่อศักยภาพการพัฒนาแหล่งน้ำมันและก๊าซฯ เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและประโยชน์ต่อประเทศมาเลเซียต่อไป” นายพงศธร กล่าว
ชนะประมูลอีก 2 แปลงในมาเลเซีย
นอกจากการเข้าซื้อกิจการของ เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่นครั้งนี้แล้ว ล่าสุด ปตท.สผ. โดยพีทีทีอีพี เอชเคโอ ได้ร่วมกับบริษัท ปิโตรนาส ชาริกาลี จำกัด ลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contracts) กับบริษัท ปิโตรเลียม เนชั่นแนล เบอร์ฮาด หรือ ปิโตรนาส เพื่อรับสิทธิในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในแปลงสำรวจพีเอ็ม 407 และพีเอ็ม 415 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณนอกชายฝั่งเพนนินซูลาร์ มาเลเซีย จากการชนะการเปิดประมูลสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในปี 2561 ของประเทศมาเลเซีย
ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิตดังกล่าว พีทีทีอีพี เอชเคโอ จะเป็นผู้ดำเนินการในทั้งสองแปลง โดยมีสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 55 ในแปลงพีเอ็ม 407 และร้อยละ 70 ในแปลงพีเอ็ม 415 ในขณะที่ ปิโตรนาส ชาริกาลี ถือสัดส่วนการลงทุนที่เหลือในทั้งสองแปลง ทั้งนี้ บริษัทวางแผนดำเนินการสำรวจคลื่นไหวสะเทือนแบบ 3 มิติ และเจาะหลุมสำรวจ 2 หลุมในแปลงพีเอ็ม 407 และเจาะหลุมสำรวจ 2 หลุมในแปลงพีเอ็ม 415
“มาเลเซีย” อีกฐานการลงทุนสำคัญของ ปตท.สผ. หนุนการเติบโตในระยะยาว
จากการเข้าซื้อกิจการเมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ในประเทศมาเลเซีย ครั้งนี้ ประกอบกับการชนะการประมูลในมาเลเซียอีก 2 แปลง รวมทั้ง แปลงสำรวจต่าง ๆ ที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการอยู่แล้วนั้น ส่งผลให้ประเทศมาเลเซียเป็นหนึ่งในฐานการลงทุนใหญ่ของ ปตท.สผ. นอกเหนือไปจากการลงทุนในประเทศไทยและเมียนมา รวมทั้ง ส่งผลให้ ปตท.สผ. เป็นบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรายใหญ่อันดับ 3 ในประเทศมาเลเซีย ในด้านของการถือครองปริมาณทรัพยากรปิโตรเลียม ซึ่งครอบคลุมการสำรวจและการผลิต น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ในบริเวณที่มีศักยภาพปิโตรเลียมสูงทั้งใน บริเวณนอกชายฝั่งเพนนินซูลาร์ มาเลเซีย และนอกชายฝั่งรัฐซาราวักและรัฐซาบาห์
“ปตท.สผ. ยินดีที่ได้มีโอกาสลงทุนเพิ่มเติมในมาเลเซีย ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตให้กับบริษัทตามแผนกลยุทธ์ในระยะยาว “Coming Home” ซึ่ง ปตท.สผ. มุ่งเน้นการขยายการลงทุนในพื้นที่ที่มีศักยภาพปิโตรเลียมสูง ในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้ง ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เสริมความร่วมมือกับปิโตรนาสซึ่งเป็นพันธมิตรกันมายาวนาน และพร้อมที่จะใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มีในอ่าวไทย รวมถึง ประสานประโยชน์ในกิจกรรมการสำรวจและผลิตในโครงการต่าง ๆ ของ ปตท.สผ. ในประเทศมาเลเซียร่วมกัน ทั้งนี้เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับทั้งสองประเทศ” นายพงศธร กล่าว
ปัจจุบัน ปตท.สผ. มีการลงทุนในมาเลเซียหลายโครงการ ได้แก่ โครงการซาราวักเอสเค 410 บี ซึ่งอยู่ระหว่างการประมวลข้อมูลด้านธรณีวิทยาและการประเมินศักยภาพทางปิโตรเลียม เพื่อเตรียมวางแผนการเจาะหลุมสำรวจ โครงการซาราวักเอสเค 417 ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาด้านธรณีวิทยาและศักยภาพปิโตรเลียม และโครงการซาราวักเอสเค 438 ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมแผนการเจาะหลุมสำรวจ นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังมีการผลิตก๊าซธรรมชาติในโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย รวมทั้ง ปตท.สผ. ยังได้ลงทุนในบริษัท พีทีที โกลบอล แอลเอ็นจี จำกัด ร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในโครงการ MLNG Train 9 ซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปก๊าซธรรมชาติเป็นก๊าซธรรมชาติเหลวอีกด้วย
You must be logged in to post a comment Login