วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ส่อเค้าความรุนแรง

On April 3, 2019

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 3 เม.ย. 62)

การเมืองเริ่มส่งสัญญาณไปในทางอาจเกิดความรุนแรงได้ทุกขณะ เมื่อความต้องการตรวจสอบการทำงานของ กกต. เพื่อความโปร่งใสเป็นธรรมกำลังถูกขยายความไปในทางสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายทำลายชาติ และเลยเถิดไปถึงเรื่องการล้มล้างสถาบัน ถ้าฝ่ายคุมอำนาจยังเดินหมากต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่สู้กันด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผล มีความเป็นไปได้สูงว่าจะจบที่ความรุนแรง

ประเทศไทยเข้าใกล้ความรุนแรง

ทั้งสารที่ออกมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ถ้านำมาตีความระหว่างบรรทัดมันคือเชื้อไฟดีๆนี่เอง

การขยายความการตรวจสอบการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกไปเป็นประเด็นการเมืองว่าเป็นการไม่ยอมรับกติกา ปลุกปั่น จนเลยเถิดไปถึงความต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต้องการล้มล้างสถาบันเบื้องสูง เป็นสิ่งที่ล่อแหลมมาก

สิ่งที่ผู้นำรัฐบาลและผู้นำกองทัพแสดงออกมานั้นทำให้นึกถึงบทสัมภาษณ์ของเออเฌนี เมรีโอ ภรรยาของนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่กำลังตกเป็นเป้าโจมตีอยู่ในตอนนี้ เพราะดูเหมือนว่าสิ่งที่เมรีโอพูดไว้นั้นใช้อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้เป็นอย่างดี

“วิกฤตการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นเกี่ยวกับว่าใครมีสิทธิสร้างความจริง และความจริงที่ออกมาจะมีหน้าตาอย่างไร เราขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การอภิปราย การขาดเสรีภาพเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความจริงเกิดขึ้นไม่ได้ สิ่งที่ขัดแย้งกับความจริงของรัฐจะไม่มีสิทธิปรากฏขึ้นได้บนเวทีสาธารณะ แล้วประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีการอภิปรายอย่างเสรี เพราะสังคมประชาธิปไตยเป็นสังคมที่เน้นการอภิปรายเป็นหลัก

การรักษาความจริงของรัฐมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส Michel Foucault (มีแชล ฟูโก) เคยอธิบายว่า วิธี control วาทกรรมในสังคมใดสังคมหนึ่งเพื่อรักษาความจริงเดิมมี 3 วิธี

วิธีแรกคือ การห้ามคนในสังคมแสดงความคิดที่เป็นภัยต่อวาทกรรมเดิมหรือความจริงที่อยากจะรักษาไว้

วิธีที่สองคือ การ discredit ความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงที่อยากจะรักษาไว้นั้น โดยการบอกว่าความคิดนี้ไม่จริง และสร้างความคิดโต้กลับที่ดูจริงกว่าด้วยหลายวิธี เช่น ในการต่อสู้เรื่องความจริงด้านประวัติศาสตร์ ถ้าเมื่อไรมีนักประวัติศาสตร์ออกงานวิจัยที่เป็นภัยต่อความจริงของรัฐก็จะสู้กลับ จ้างนักประวัติศาสตร์มาช่วยสู้กับความคิดนั้น และสร้าง school โต้กลับ แล้วให้งบประมาณสนับสนุน school นั้นอย่างเป็นทางการ พิมพ์ตำรา และประกาศความคิดของรัฐทั่วๆไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสร็จแล้วนักประวัติศาสตร์คนที่สู้กับความจริงของรัฐจะสู้กลับไม่ไหว งบประมาณและทรัพยากรไม่พอ งานวิจัยเขาก็จะค่อยๆตายไป

วิธีที่สามคือ การ discredit คนที่สร้างความจริงใหม่ที่เป็นภัยต่อความจริงที่อยากจะรักษาไว้ ถ้าเป็นตัวอย่างที่ใช้เมื่อกี้นี้ นักประวัติศาสตร์คนนั้นจะต้องถูก discredit โดยตรงเลยว่าเขาไม่มีสิทธิพูด เขาเป็นคนไม่ดี เขาไม่มีความเป็นไทย เป็นคนบ้า ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำร้ายชาติ ทำลายความสามัคคี ดังนั้น สิ่งที่เขาพูดหรือเขียนมานั้นไม่ต้องไปฟัง ไม่ต้องไปอ่าน เพราะว่ามาจากคนที่ไร้ค่าไม่น่าเชื่อถือและปราศจากความหวังดีต่อบ้านเมือง

รัฐไทยจะเอา 3 กลไกนี้มาใช้ตลอด เพื่อรักษาความจริงทางประวัติศาสตร์ว่าประเทศไทยดีงามมาตลอดเวลาจนถึงปัจจุบัน มันน่าสนใจตรงที่ว่าประเทศไทยอยู่กับสิ่งที่ไม่จริงมาตลอดเวลา ประวัติศาสตร์หรือสิ่งที่เรียกว่าความเป็นไทย ซึ่งประกอบด้วยชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถูกรักษาไว้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้มีนักประวัติศาสตร์ ประชาชนทั่วไป เริ่มตั้งคำถามกับสิ่งเหล่านี้ว่ามันจริงไหม เรื่องไหนจริงเรื่องไหนไม่จริง ซึ่งก็ตรงกับสิ่งที่นักท่องเที่ยวเข้ามาในเมืองไทยครั้งแรก ก็จะเห็นชัดเจนว่ามีภาพที่นิ่ง ๆ มีความเป็นไทย มีศีลธรรม ซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหลัง”

สิ่งที่เมรีโอพูดไว้น่าจะใช้อธิบายสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี เพราะเมื่อประชาชนตั้งคำถามต่อการทำงานของ กกต. แทนที่จะเปิดให้มีการอภิปรายถกเถียงชี้แจงกันด้วยเหตุผล แต่กลับไปพูดถึงคนที่ต้องการตรวจสอบการทำงานเพื่อความโปร่งใสเป็นธรรมว่าเป็นพวกที่สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย และกำลังเลยเถิดไปถึงการล้มเจ้า

ถ้ายังเดินหมากต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ ไม่สู้กันด้วยข้อเท็จจริงและเหตุผล มีความเป็นไปได้สูงว่าจะจบที่ความรุนแรง


You must be logged in to post a comment Login