วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

มีแต่เชื้อไฟ

On April 6, 2019

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่  9 เม.ย. 62)

หมายเรียกรับทราบข้อกล่าวหาหมิ่น กกต. เริ่มทยอยส่งถึงคนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ กกต. หลายกลุ่มเคลื่อนไหวล่ารายชื่อยื่นคำร้องยุบพรรคการเมือง ยื่นถอดถอนว่าที่ ส.ส. หลายคนเคลื่อนไหวขับไล่บางคนให้ออกนอกประเทศฐานไม่มีความจงรักภักดี กกต. กำลังเล็งแจกใบส้มให้ผู้ชนะเลือกตั้ง ส.ส. กว่า 66 เขตแล้วให้เลือกตั้งใหม่ ซึ่งมากพอที่จะทำให้โมเมนตัมชิงจัดตั้งรัฐบาลเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ผลจากใบส้มอาจมีพรรคการเมืองโดนฟ้องยุบพรรค ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้แม้จะเป็นการทำหน้าที่ เป็นการใช้สิทธิ แต่ก็เป็นเชื้อไฟชั้นดีที่ทำให้มีโอกาสเกิดความปั่นป่วนวุ่นวายเพิ่มมากขึ้น เว้นแต่การทำหน้าที่จะตรงไปตรงมา โปร่งใส ตรวจสอบได้ หากยิ่งทำหน้าที่ยิ่งทำให้เกิดคำถาม ยิ่งใช้อำนาจยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัย อะไรจะตามมาคงรู้คำตอบกันดี

ความน่าจะเป็นที่จะเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ความรุนแรงในบ้านเมือง ดูเหมือนมีโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ และแทบไม่น่าเชื่อว่าการบังคับใช้กฎหมายอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อไฟที่จะทำให้เกิดความรุนแรง

ทั้งที่การบังคับใช้กฎหมายควรเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ยับยั้งความรุนแรง แต่ที่กลายเป็นเชื้อไฟก็เพราะการบังคับใช้กฎหมายที่ทำให้เกิดข้อสงสัย เกิดคำถาม

ขณะนี้มีการยื่นเรื่องยุบพรรคการเมืองเกือบทุกพรรค ยื่นถอดถอนว่าที่ ส.ส. ทั้งที่ยังไม่ได้รับรองการเป็น ส.ส. จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งความดำเนินคดีเอาผิดคนที่วิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายตรงข้าม จนเกิดคดีความขึ้นมาอย่างมากมาย

สถานการณ์อย่างนี้หากคนในกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายไม่นิ่งเหมือนที่บางคนแสดงออกอยู่ตอนนี้ จะยิ่งเป็นการเติมเชื้อไฟให้ลุกไหม้เร็วขึ้น

ย้อนมาที่เรื่องเลือกตั้งที่ผ่านมาแล้ว 2 สัปดาห์ และ กกต. เริ่มใช้อำนาจสั่งให้เลือกตั้งใหม่ นับคะแนนใหม่ในบางหน่วย

ที่น่าสนใจที่สุดคือ กกต. กำลังพิจารณาแจกใบส้มให้ผู้ชนะเลือกตั้งมากถึง 66 เขต ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงโมเมนตัมทางการเมืองให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพิ่มโอกาสในการรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้เลย

ความหมายของใบส้มคือ กกต. ตรวจสอบข้อมูลหลักฐานพบว่าผู้สมัครกระทำการทุจริตเลือกตั้ง หรือมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่ากระทำการทุจริตเลือกตั้ง ซึ่งผลกระทบต่อผู้สมัครที่ได้รับการแจกใบส้มมีอยู่ 2 กรณี

กรณีแรก หากเป็นผู้สมัครที่ไม่ได้เป็นผู้ชนะเลือกตั้งหรือมีคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ให้นำคะแนนของผู้สมัครรายนั้นมาคิดคำนวณจำนวน ส.ส. ที่พรรคต้นสังกัดพึงมี ไม่นำคะแนนมาคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ความหมายคือโยนคะแนนที่ผู้สมัครรายนั้นได้มาทิ้งไปเลย

กรณีที่สอง หากเป็นผู้สมัครที่ชนะเลือกตั้ง กกต. จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยที่ผู้สมัครที่ได้ใบส้มจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นการชั่วคราว 1 ปี คำสั่งของ กกต. ให้ถือเป็นที่สิ้นสุด ไม่สามารถยื่นอุทธรณ์หรือนำไปฟ้องร้องได้

ส่วนการจัดเลือกตั้งใหม่นั้นไม่มีความชัดเจนว่าต้องเปิดรับสมัครใหม่หรือใช้ผู้สมัครชุดเดิมเพียงแค่ตัดผู้ที่ได้รับใบส้มทิ้ง

หากใช้ผู้สมัครชุดเดิมหมายความว่าพรรคการเมืองต้นสังกัดของผู้ที่ได้รับใบส้มจะหมดโอกาสได้คะแนนจากการเลือกตั้งในเขตนั้น ทำให้ไม่มีคะแนนไปคิดคำนวณจำนวน ส.ส.พึงมีและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ หาก กกต. พบหลักฐานว่ากรรมการบริหารพรรครับรู้ว่าผู้สมัครที่ได้ใบส้มกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งแล้วไม่ยับยั้ง หรือมีส่วนรู้เห็นเป็นใจให้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง จะโดนฟ้องยุบพรรคด้วย

จึงน่าสนใจว่าในจำนวน 66 เขตที่ กกต. กำลังเล็งแจกใบส้มให้ผู้ชนะเลือกตั้งนั้น จะมีพรรคการเมืองต้นสังกัดของว่าที่ ส.ส. ที่โดนใบส้มรายใดถูกฟ้องยุบพรรคด้วยหรือไม่ ถ้ามีจะเป็นพรรคการเมืองใด

ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมายดำเนินคดี แม้แต่คนที่วิจารณ์ กกต. ก็ได้รับหมายเรียกให้รับทราบข้อกล่าวหาหมิ่น กกต. และคดีความอื่นที่เกิดขึ้นกับนักการเมือง คนที่วิจารณ์การเมือง

ทั้งเรื่องใบส้ม เรื่องฟ้องยุบพรรคที่น่าจะมีตามมา

ดูแล้วน่าหนักใจ เพราะแต่ละเรื่องไม่ต่างจากการโยนฟืนเข้ากองไฟเพื่อเร่งให้ไฟโหมลุกไหม้รุนแรงขึ้น

การบังคับใช้กฎหมายนั้นดี การทำหน้าที่ก็ดี หากตรงไปตรงมา โปร่งใส ตรวจสอบได้ ชี้แจงได้ ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่ากระบวนการใช้อำนาจ กระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่กำลังดำเนินการอย่างเข้มแข็งอยู่ในตอนนี้ จะให้ผลทางใด

ระหว่างทำให้เกิดความสงบเรียบร้อยกับโหมไฟให้เกิดความรุนแรงวุ่นวาย


You must be logged in to post a comment Login