วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

มาเล่นกันเถอะ!

On April 11, 2019

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  12 – 19 เมษายน 2562)

“ผมไม่คิดว่าการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมเป็นสิ่งที่ผิด”

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวตอนหนึ่งในการไปรับทราบข้อกล่าวหาและให้ข้อมูลแก่พนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้แจ้งข้อกล่าวหา 3 ข้อคือ ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น มาตรา 189 ให้ความช่วยเหลือพาผู้ต้องหาหลบหนี และมาตรา 215 มั่วสุมชุมนุมเกิน 5 คน โดยมีประชาชนมาให้กำลังใจจำนวนมาก รวมทั้ง 12 ตัวแทนทูตและองค์กรระหว่างประเทศมาสังเกตการณ์การแจ้งข้อกล่าวหาด้วย ซึ่งนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2557 นักการเมือง นักวิชาการ นักศึกษา และประชาชนจำนวนมากที่ต่อต้านระบอบเผด็จการ ถูก คสช. ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

การขุดเอาข้อหาตั้งแต่ปี 2558 มาดำเนินคดีกับนายธนาธรในช่วงการเลือกตั้ง และยังต้องขึ้นพิจารณาคดีในศาลทหารอีก ยิ่งทำให้ประชาชนและนานาชาติวิตกกังวลสถานการณ์ที่อาจจะตามมา ซึ่ง คสช. และผู้นำกองทัพก็แสดงความไม่พอใจฝ่ายต่างๆที่ออกมาต่อต้านการสืบทอดอำนาจระบอบ คสช. โดยเฉพาะการปฏิรูปกองทัพ

ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ฟ้องร้องผู้ที่วิจารณ์การทำงานของ กกต. รวมถึงผู้ที่แชร์ข้อความดังกล่าว ทั้งที่เป็นการแสดงความคิดเห็นอย่างสงบภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่ง กกต. ถูกตั้งคำถามมากมายว่าการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมและเป็นธรรมหรือไม่

การใช้อำนาจของ คสช. และ กกต. รวมถึงท่าทีของผู้มีอำนาจรัฐและผู้นำกองทัพต่อพรรคการเมืองและประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย โดยเฉพาะการฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายธนาธรที่อยู่ในฐานะหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่มีว่าที่ ส.ส. กว่า 80 คน ยิ่งทำให้บรรยากาศการเลือกตั้งอึมครึม ไม่ว่าจะอ้างว่าเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย แต่การใช้กลไกต่างๆภายใต้ระบอบเผด็จการฟ้องร้องดำเนินคดีกับฝ่ายที่เห็นต่าง แม้แต่ประชาชนทั่วไปที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด จึงถูกมองว่าไม่ต่างกับการปิดปากประชาชนไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจและการทำงานขององค์กรอิสระ แม้จะเป็นไปตามกระบวนการกฎหมายปรกติแต่ไม่ปรกติ

“ปิยบุตร” โดนหมายเรียก หมิ่นศาล-พ.ร.บ.คอมพ์

ขณะที่เมื่อวันที่ 9 เมษายน นายปิยบุตร แสงกนกกุล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Piyabutr Saengkanokkul ว่า เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมาได้รับ “หมายเรียกพยาน” จากกรณีอ่านคำแถลงการณ์พรรคอนาคตใหม่กรณีการยุบพรรคไทยรักษาชาติ โดยให้ผมไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันเดียวกันกับวันที่ได้รับหมาย ทำให้ผมไม่สามารถเดินทางไปได้ตามกำหนด จึงได้ให้ทนายความขอเลื่อนการเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจออกไป

มาวันนี้ “หมายเรียกพยาน” กลายเป็น “หมายเรียกผู้ต้องหา” แทนแล้ว พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ รับมอบอำนาจจาก คสช. ไปร้องทุกข์กล่าวโทษในความผิดอาญา 2 ข้อหาคือ 1.ดูหมิ่นศาล 2.นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยน่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ หรือเกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

หมายเรียกผู้ต้องหาออกวันที่ 5 เมษายน 2562 (สองวันให้หลังจากที่ได้รับหมายเรียกพยานและขอเลื่อนนัด) โดยให้ไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจวันที่ 9 เมษายน แต่เนื่องจากเดินทางมาเยี่ยมภรรยาที่ต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน จึงไม่สามารถไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ และได้ให้ทนายความขอเลื่อนนัดเป็นวันที่ 17 เมษายนแทน

“ผมมั่นใจว่าในแถลงการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ที่ผมอ่านนั้น ไม่มีข้อความใดที่เข้าข่ายความผิดตามที่ พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ และ คสช. กล่าวหา..ไม่มีเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น=ไม่มีประชาธิปไตย..ปราศจากเสรีภาพในการตำหนิติเตียนก็ไม่มีซึ่งคำสรรเสริญเยินยอ -Le Mariage de Figaro, 1778.”

 “ธนาธร” ชู 3 นิ้ว

ที่น่าสนใจคือนายธนาธรได้ “ชู 3 นิ้ว” ให้กับประชาชนที่ไปให้กำลังใจในการรับทราบข้อกล่าวหาจากเจ้าพนักงานสอบสวน ซึ่งการชู 3 นิ้วถือเป็นสิ่งต้องห้ามในรัฐบาล คสช. โดยก่อนหน้านี้ “กลุ่มดาวดิน” ได้ชู 3 นิ้วต่อหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ในวันครบรอบ 1 ปีการทำรัฐประหาร และกลายเป็นสัญลักษณ์ของประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งรัฐบาลทหารและ คสช. ก็แสดงชัดเจนว่าไม่พอใจและมีการดำเนินคดีกับผู้ที่ต่อต้านหลายคน โดยเฉพาะ “ไผ่ ดาวดิน” นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นในขณะนั้น ถูกดำเนินคดีหลายข้อหาในการต่อต้านการรัฐประหาร

การชู 3 นิ้วกลายเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ทางการเมือง ในการต่อสู้ทางความคิดและสิทธิเสรีภาพในสังคมไทย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประชาชนที่ไม่ยอมให้ผู้มีอำนาจกดขี่จากภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games ซึ่งนายธนาธรได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คยืนยันว่าไม่มีส่วนในการกำหนดการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาและภาคประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหารขณะนั้น แต่ไปให้กำลังใจในฐานะมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีสิทธิและอิสระในความคิดและความเชื่อของตนเอง เพราะกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวมีหัวใจแข็งแกร่งปานหินผาย่อมไม่ให้ใครจูงจมูกได้ง่าย

นายธนาธรยังทิ้งท้ายด้วยประโยคสั้นๆแต่แทงใจดำผู้มีอำนาจว่า “ประชาธิปไตย! สิทธิมนุษยชน! ความยุติธรรม! การมีส่วนร่วม! สันติวิธี!..เผด็จการจงพินาศไป ประชาธิปไตยจงเจริญ”

แอมเนสตี้แถลงหยุดปิดปากฝ่ายตรงข้าม

น.ส.แคทเธอรีน เกอร์สัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายรณรงค์ประเด็นประเทศไทยประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงการฟ้องร้องนายธนาธรว่า เป็นการฟ้องร้องคดีอาญาต่อฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและนักเคลื่อนไหวเป็นจำนวนที่น่าตกใจ จึงย้ำข้อเรียกร้องให้รัฐบาลปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคมและการชุมนุมโดยสงบ โดยงดเว้นการใช้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาอย่างมิชอบเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง รวมถึงการใช้ศาลทหารกับพลเรือนไม่ว่ากรณีใดๆ

เชิญทูตแจง “จรรยาบรรณ”?

กรณีนายธนาธรเป็นข่าวไปทั่วโลก เมื่อกระทรวงการต่างประเทศของไทยออกมาแถลงว่า 12 ตัวแทนทูตและองค์กรระหว่างประเทศไม่ได้ขอมาเอง แต่นายธนาธรเป็นผู้เชิญมา

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การกระทำของตัวแทนทูตและองค์กรระหว่างประเทศถือเป็นการผิดหลักการทางการทูตของสหประชาชาติที่ไม่ควรแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของประเทศใดๆ ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในคดี จะเข้ามาสังเกตการณ์ก็ต่อเมื่อเกิดเหตุยุ่งเหยิงขึ้นในประเทศ ซึ่งจะต้องสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะเชิญผู้แทนจากสถานทูตต่างๆมาพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหลักการและจรรยาบรรณ รวมถึงขอความร่วมมือไม่ให้เกิดเรื่องลักษณะนี้ขึ้นอีก เพราะก่อนหน้านี้กระทรวงการต่างประเทศเคยทำหนังสือเวียนแจ้งเตือนไปแล้ว

ยูเอ็นมาเอง

ขณะที่ “อุปทูตแคนาดา” ได้ทวีตข้อความผ่าน @DonicaPottie ยืนยันว่ามีตัวแทนสถานทูตแคนาดาไปสังเกตการณ์กรณี @Thanathorn_FWP วันเสาร์ที่ผ่านมาจริง สถานทูตไปสังเกตการณ์มาแล้วหลายกรณี “a real Canadian diplomat was there. Embassies frequently monitor key court cases. #Thailand”

น.ส.พรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ออกมาตอบโต้กระทรวงการต่างประเทศ (8 เมษายน) ว่า เย็นวันที่ 4 เมษายน เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติเป็นฝ่ายติดต่อมายังทนายความของนายธนาธรขอเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วยตนเอง ซึ่งสามารถสอบถามที่ สน.ปทุมวันได้ หรือแม้นายธนาธรจะเป็นผู้เชิญเอง ถ้าไม่ใช่ประเด็นน่ากังวลจริงๆตัวแทนนานาชาติเหล่านี้ก็คงไม่มา แต่ตัวแทนนานาชาติเห็นว่าการใช้กฎหมายความมั่นคงตามมาตรา 116 เป็นเรื่องร้ายแรงมาก โดยเฉพาะหัวหน้าพรรคการเมืองที่เพิ่งลงเลือกตั้งครั้งแรกและได้ว่าที่ ส.ส. ถึง 80 กว่าที่นั่ง

“การที่กระทรวงการต่างประเทศแถลงนั้น ดิฉันไม่ได้มองว่าเป็นการดิสเครดิตทางการเมือง แต่มองว่าเป็นการสร้างเครดิตทางการเมืองให้นายธนาธรเสียมากกว่าที่สามารถเชิญ 12 ตัวแทนจากนานาชาติมาร่วมได้”

สำหรับกรณีที่ คสช. แถลงยืนยันว่าศาลทหารมีความเป็นกลางก็เป็นสิทธิที่จะอ้าง แต่เรื่องความเป็นกลางนั้นเป็นคนละเรื่องเดียวกันกับการนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร เพราะในประเทศที่ยึดถือระบอบประชาธิปไตย ประเทศที่เจริญแล้ว ไม่มีใครนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีแอมเนสตี้ฯเรียกร้องคดีนายธนาธรว่าอย่าใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองนั้น อาจเป็นความเข้าใจที่สับสน การดำเนินการตามกระบวนการกฎหมาย กติกาสังคม ไม่น่าใช่การยืนยันว่าผู้ถูกกล่าวหาได้รับสิทธิตามกระบวนการยุติธรรมตามปรกติ เช่น การใช้พยานหลักฐานในการพิสูจน์ความจริง การแก้ข้อกล่าวหา การใช้กลไกในกระบวนการสืบสวนสอบสวน การได้รับสิทธิคุ้มครองตามหลักกฎหมาย ไม่แตกต่างจากการดำเนินคดีของบุคคลอื่นๆในคดีอื่นๆในศาลเฉพาะทางอื่นๆ

ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 25 พรรคการเมือง

ส่วนการเลือกตั้ง ส.ส. ก็ยังไม่มีความชัดเจน โดยเฉพาะวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อหรือ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่ กกต. ยังเป็นเหมือน “ลิงแก้แห” ตีความตามรัฐธรรมนูญแตกต่างกับหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นหลักคณิตศาสตร์หรือหลักนิติศาสตร์

ขณะเดียวกัน กกต. ก็ฟ้องหมิ่นประมาทผู้ที่เผยแพร่และแชร์ข้อความการทำงานของ กกต. โดยชี้แจงว่าเป็นการรักษาสิทธิตามกฎหมาย วิพากษ์วิจารณ์ กกต. ได้ แต่ต้องไม่เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม โดยอ้างว่า “กกต. ได้รับความเสียหายจากการกล่าวถ้อยคำและข้อความอันเป็นเท็จ”

ความสับสนงุนงงในการคำนวณคะแนน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่ 5 เมษายน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กกต. ได้เผยแพร่เอกสารข่าวชี้แจงการคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งสงสัยวิธีการคำนวณของ กกต. ว่าได้นำวิธีการคำนวณที่ได้เสนอต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นวิธีที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 128-129 ประกอบกับเจตนารมณ์ของระบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญกับคะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนมาเป็นแนวทางในการคำนวณ

ผลคำนวณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ โดยใช้ข้อมูลจากการประกาศผลการนับคะแนนของทุกเขตเลือกตั้งมาคำนวณ เบื้องต้นมีพรรคการเมืองที่ได้รับการจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อไม่น้อยกว่า 25 พรรคการเมือง โดยใช้ผลคะแนนรายเขตเลือกตั้งที่ได้แถลงข่าวไปเมื่อวันที่ 28 มีนาคม

“สุดารัตน์” เตือน กกต. อย่าสนองการสืบทอดอำนาจ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊ค (7 เมษายน) เตือน กกต. อย่าละเมิดบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ โดยการอ้างเหตุผลเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายและจะเลือกใช้สูตรในการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อตามที่ตัวเองต้องการนั้น คงไม่สามารถใช้อำนาจทางกฎหมายใดไปทัดทานได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ซึ่งพรรคการเมือง นักวิชาการ นักคณิตศาสตร์ และประชาชนไม่เห็นด้วย

คุณหญิงสุดารัตน์ยังเตือน กกต. ว่า ยิ่งเกิดวิกฤตความเชื่อมั่นต่อ กกต. มากเท่าไร การดำเนินการของ กกต. ยิ่งต้องรัดกุมและปฏิบัติโดยรอบคอบ ไม่ขัดต่อข้อกฎหมาย สิ่งที่ระบุอยู่ในรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศต้องยึดหลักการและไม่ยอมกระทำการใดๆที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ เพื่อสนองความต้องการสืบทอดอำนาจของคนเพียงกลุ่มเดียว เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้คือความหวังของคนทั้งประเทศ ต้องไม่ทำให้คนไทยทั้งประเทศผิดหวัง

“สมชัย” เตือน กกต. ถูกฟ้อง

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊ค Somchai Srisutthiyakorn กรณี กกต. ยังไม่สรุปจะใช้สูตรใดคำนวณ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อว่า การเอาเศษไปกระจายให้พรรคที่มีคะแนนเสียงต่ำกว่า 71,057.4980 คะแนน หรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่นำมาคำนวณ ส.ส.พึงมี 1 คนนั้น เป็นผลใหญ่ที่ตามมาในระยะสั้นและระยะยาว

ระยะสั้นจะมีพรรคใหญ่และพรรคกลางที่เห็นว่าขัดกับรัฐธรรมนูญฟ้อง ป.ป.ช. ให้ถอดถอน กกต. และฟ้องศาลรัฐธรรมนูญว่า กกต. วินิจฉัยกฎหมายลูกขัดกับรัฐธรรมนูญ

ส่วนระยะยาว หากหลักการดังกล่าวถูกนำไปใช้โดยไม่มีใครทักท้วง ในอนาคตจะมีพรรคเล็กเกิดขึ้นอีกมากมาย ประเทศไทยอาจมีพรรคการเมืองถึง 200-300 พรรค ในเขตเลือกตั้งหนึ่งจะมีผู้สมัครเป็นร้อยพรรค คะแนนของผู้ชนะจะลดลงเหลือหมื่นต้นๆ ทำให้จำนวน overhang เพิ่มขึ้นอีกมากมาย การกระจายเศษอาจไปถึงพรรคลำดับหลังๆที่มีคะแนนแค่หลักพัน

“สูตรสมชัย” 14 พรรค

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 8 เมษายน นายสมชัยได้ไล่เรียงการคำนวณตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ตั้งแต่ (1) ถึง (7) มาชี้แจงวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่ออย่างละเอียดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 และกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ซึ่งการคำนวณแตกต่างจากผลลัพธ์ที่ กกต. ชี้แจงว่าจะมีพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 25 พรรคที่ได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยสูตรของตนจะมีพรรคการเมืองได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 16 พรรค เนื่องจากต้องตัดพรรคเพื่อไทยที่ได้ ส.ส.เขต 137 คน เกินกว่าจำนวน ส.ส.พึงมี 111 คน ทำให้ไม่ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และตัดพรรคประชาชาติออก เนื่องจากได้จำนวน ส.ส.พึงมี 6.8316 และได้ ส.ส.เขตมาแล้ว 6 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อจึงต้องตัดทิ้ง

ดังนั้น จะเหลือ 14 พรรคการเมืองที่จะได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โดยนำมาปรับอัตราส่วนใหม่ให้รวมแล้วได้ 150 คนคือ พรรคพลังประชารัฐ 21 คน พรรคอนาคตใหม่ 56 คน พรรคประชาธิปัตย์ 22 คน พรรคภูมิใจไทย 13 คน พรรคเสรีรวมไทย 11 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 5 คน พรรคเศรษฐกิจใหม่ 6 คน พรรคเพื่อชาติ 5 คน

พรรครวมพลังประชาชาติไทย 4 คน พรรคชาติพัฒนา 2 คน พรรคพลังท้องถิ่นไท 2 คน พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย 1 คน พรรคพลังปวงชนไทย 1 คน และพรรคพลังชาติไทย 1 คน

นายสมชัยกล่าวว่า จะนำสูตรคำนวณของตนจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรส่งให้ กกต. อย่างเป็นทางการ แต่ถ้าการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อผิดพลาดก็ไม่ส่งผลให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะสามารถแก้ไขผลลัพธ์ให้ถูกต้องได้ ส่วนข้อเสนอให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้น ก่อนวันที่ 9 พฤษภาคมไม่มีช่องทางที่จะทำได้ กกต. จึงต้องตัดสินใจเอง “ผมอยากให้ กกต. ยึดหลักไม่มีเขา ไม่มีเรา ไม่มีหน้าตาที่ต้องเสีย แต่ต้องให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ อย่าติดยึดเรื่องการเสียหน้า เมื่อผิดก็แก้ไข เชื่อว่าสังคมจะเข้าใจ”

สูตรของนายสมชัยได้ผลลัพธ์สอดคล้องกับคลิปวิดีโอของนายลอย ชุนพงษ์ทอง นักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ชื่อดัง ผู้ทรงคุณวุฒิสหวิทยาการแห่งราชบัณฑิตยสภา ที่ยืนยันว่า ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดทั้งสิ้น โดยคำนวณ ส.ส. ที่แต่ละพรรคพึงได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 128 ในเชิงคณิตศาสตร์ พร้อมสรุปว่าสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อสามารถสรุปได้ง่ายๆแค่ 6 บรรทัด ไม่ต้องเขียนมากมายและวกวนอย่างในรัฐธรรมนูญ

ฟ้องมาก็ฟ้องกลับ

ส่วนการฟ้องร้องสื่อและผู้วิจารณ์และแชร์การทำงานของ กกต. นั้น นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” ประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนท.) ที่เป็นคนหนึ่งที่ถูก กกต. แจ้งความดำเนินคดีในการปราศรัยวิจารณ์การทำงานของ กกต. ให้หยุดโกงเลือกตั้ง ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คว่า จะฟ้องดำเนินคดีกับ กกต. เช่นกันในข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ (ป.อ.157) ไม่มีความสุจริตและเที่ยงธรรม

ด้านเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง (คนส.) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คเพจเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมยื่นหนังสือและสอบถาม กกต. ใน 3 ประเด็นคือ 1.การเปิดเผยผลการนับคะแนนรายหน่วยเลือกตั้ง 2.ความถูกต้องและเป็นธรรมของสูตรการคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 3.การถอนฟ้องประชาชนที่วิจารณ์การทำงานของ กกต.

โดยอาจารย์และนักวิชาการที่ร่วมลงชื่อและแชร์การลงชื่อถอดถอน กกต. ใน Change.org ได้ยื่นหนังสือให้ กกต. วันที่ 10 เมษายน และยินดีให้ กกต. ฟ้องร้องดำเนินคดีเหมือนที่ทำกับประชาชนทั่วไป

นอกจากนี้นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ซึ่งได้ให้ประชาชนร่วมลงชื่อเพื่อกล่าวหาและนำไปสู่การถอดถอน 7 กกต. ได้ยื่นคำร้องไปยัง ป.ป.ช. ให้ดำเนินการไต่สวนและมีความเห็นกรณีมีข้อกล่าวหาว่า 7 กกต. จงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อํานาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย

กกต. ไม่เป็นที่เชื่อถือของสังคม

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ค Chaturon Chaisang ชี้เหตุที่ กกต. ไม่เป็นที่เชื่อถือของสังคม ขณะที่ กกต. ชี้แจงเหตุผลที่ดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทกับผู้ที่วิจารณ์ กกต. พร้อมเอาตัวอย่างข้อความที่ตนทวีตวิจารณ์เรื่องนี้ โดยคาดข้อความทับเป็นสีแดงว่า “ข่าวคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง” ว่าทำไมจึงบอกว่า กกต. ไม่เป็นที่เชื่อถือของสังคม 12 ประเด็น อาทิ กกต. ชุดนี้มีที่มาที่ไม่เป็นไปตามกระบวนการตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่มาโดยการแทรกแซงของ คสช. มักมีข่าวทำนองว่าผู้นำ คสช. และผู้นำรัฐบาลมอบเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ กกต. ไปทำอยู่บ่อยๆ กกต. ก็ไม่เคยทักท้วงว่ามอบไม่ได้ สั่งไม่ได้

ที่ผ่านมา คสช. ได้ออกคำสั่งที่มีผลเป็นการแก้กฎหมายเกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง ส.ส. หลายครั้ง คสช. สั่งให้แบ่งเขตเลือกตั้งใหม่อย่างกะทันหัน กกต. ก็ดำเนินการตามสั่งอย่างไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกันอย่างชัดเจน กกต. ออกระเบียบว่าด้วยการจัดรายการที่เกี่ยวกับการหาเสียงทางสื่อต่างๆที่กลายเป็นข้อจำกัดทำให้สื่อต่างๆไม่กล้าจัดรายการกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ประชาชนเสียโอกาสในการรับฟังความคิดเห็นและนโยบายของพรรคการเมืองไปมาก

มีการร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณีพรรคการเมืองจัดงานเลี้ยงหาเงินสนับสนุนพรรค โดยมีข้อร้องเรียนว่ามีรัฐวิสาหกิจร่วมบริจาคด้วยซึ่งเป็นการผิดกฎหมาย กกต. ตรวจสอบแล้วชี้แจงเป็นข่าวสรุปว่าไม่ผิด เนื่องจากไม่มีชาวต่างชาติบริจาค ซึ่งไม่ตรงประเด็นเลย

กกต. เปิดเผยผลการเลือกตั้งในแต่ละเขตเลือกตั้งล่าช้าผิดปรกติโดยอ้างเหตุผลแบบผิดๆ เช่น ประกาศเกิน 95% ไม่ได้ ทำให้คนสงสัยว่ากำลังปกปิดอะไรอยู่ จนบัดนี้ กกต. ก็ยังชี้แจงเรื่องนี้ไม่ได้ และหลังจากการเลือกตั้งผ่านไปเป็นสัปดาห์ กกต. ยังไม่สามารถชี้แจงได้ว่าจะคำนวณจำนวน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองด้วยหลักเกณฑ์วิธีการอย่างไร

กกต. กำลังวางตัวเป็นผู้ที่ใครก็แตะต้องไม่ได้ ทั้งๆที่ กกต. เป็นองค์กรของรัฐที่พึงถูกตรวจสอบได้ และกรรมการแต่ละคนก็เป็นบุคคลสาธารณะ งานที่ต้องทำก็มีมาก แต่กลับเที่ยวไล่ดำเนินคดีกับผู้ที่ตำหนิติชมการทำงานของ กกต.

นายจาตุรนต์ย้ำว่า บทบาท กกต. เป็นเรื่องสำคัญ สังคมอยากเห็นการทำงานของ กกต. ที่โปร่งใสและเป็นกลาง ซึ่ง กกต. ควรจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการกระทำ

นอกจากนี้นายจาตุรนต์ยังโพสต์ว่า “ฟังการถกเถียงโต้แย้งกันในเรื่องการคำนวณจำนวนปาร์ตี้ลิสต์ และดูรัฐธรรมนูญมาตรา 91 (4) สรุปได้ไม่ยากว่า การจะปัดเศษทศนิยมให้พรรคใดพรรคหนึ่งได้ ส.ส. เกินกว่าจำนวนที่พึงได้นั้นไม่สามารถทำได้ พรรคที่ได้เสียงต่ำกว่า 71,000 จึงไม่ได้ ส.ส. เว้นแต่จะได้ส.ส.เขต”

มาเล่นกันเถอะ

การฟ้องร้องนายธนาธรและนายปิยบุตรของ คสช. ขณะนี้ ถูกตั้งคำถามว่ากำลัง “กำจัด” พรรคอนาคตใหม่ให้พ้นทาง “ลุงฉุน” ให้กลับมาเป็น “ทั่นผู้นำ” ต่อหรือไม่ โดยไม่ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเสียงประณามต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นกฎกติกาและจรรยาบรรณทางการเมือง หรือแม้กระทั่งมารยาทในทางการทูต

ขณะที่มีผู้สนับสนุนให้ถอดถอน กกต. ผ่าน change.org ถึง 848,964 คน รวมถึงมีการรณรงค์เรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติช่วยกดดันให้ กกต. เปิดเผยคะเเนนรายหน่วยทั่วประเทศโดยด่วนเพื่อความโปร่งใส เพราะจนถึงวันนี้ผลการเลือกตั้ง ส.ส. ก็ยังอึมครึม

โดยเฉพาะวิธีการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่ กกต. ยังเป็น “ลิงแก้แห” เพราะแตกต่างกับหลายฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง นักวิชาการ และนักคณิตศาสตร์ ทั้งที่ตีความตามรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกัน

ที่สำคัญ กกต. ใช้กฎหมายปิดปากสื่อและคนที่วิจารณ์ กกต. ด้วยการฟ้องหมิ่นประมาทผู้ที่เผยแพร่และแชร์ข้อความการทำงานของ กกต. โดยชี้แจงว่าเป็นการรักษาสิทธิตามกฎหมาย วิพากษ์วิจารณ์ กกต. ได้ แต่ต้องไม่เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม อ้างว่า “กกต. ได้รับความเสียหายจากการกล่าวถ้อยคำและข้อความอันเป็นเท็จ”

การเมือง “ประเทศกูมี” วันนี้ถูกมองว่าใช้ทั้งอำนาจและกลไกรัฐทุกรูปแบบเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามและเห็นต่างเพื่อให้ได้อำนาจและผลประโยชน์ วาทกรรม “คนดี” ที่อ้างกฎหมาย ต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข และสร้างความปรองดอง จึงเป็นแค่วาทกรรมโกหกตอแหลที่ยิ่งสร้างความขัดแย้งและแตกแยก

การเมือง “ประเทศกูมี” จึงยังจมปลักอยู่ในเทศกาลความขัดแย้ง

เล่น “สงกรานต์” สาดน้ำให้สนุก! เสร็จแล้วเตรียมมาเล่น “สงคราม” สาดโคลนกันต่อ!!??


You must be logged in to post a comment Login