วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

“ปิยบุตร”เชื่อ”ธนาธร”ไม่โดนใบส้มขอกกต.พิจารณาโอนหุ้นเป็นธรรม

On April 22, 2019

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ตอบคำถามสื่อมวลชนภายหลังการแถลงข่าวว่ามีความกังวลว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะประวิงเวลาในการตรวจสอบเรื่องการโอนหุ้นจนไม่สามารถรับรองสถานะ ส.ส. ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ในวันที่ 9 พฤษภาคมหรือไม่ว่า หากพิจารณาด้วยจิตใจเป็นธรรม เมื่อเห็นหลักฐานการโอนหุ้นในวันที่ 8 มกราคม 2562 เห็นแค่นี้ต้องมีมติทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีมูลจากหลักฐานต่างๆครบถ้วนและไม่มีเหตุผลอื่นที่ต้องตั้งคณะกรรมการช่วยตรวจสอบ นอกจากนี้การที่คณะกรรมการดังกล่าวไปขอหลักฐานตามหน่วยงานที่ปรากฏออกมาเป็นข่าว แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับยังไม่ได้รับโอกาสชี้แจง ทั้งที่เรื่องนี้ควรจบไปตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งเราต้องขอความเป็นธรรมในการนำเอกสารหลักฐานจากทั้ง 2 ฝ่ายเข้ามาพิจารณาด้วย

ส่วนหาก กกต. มีมติออกมาเป็นใบส้มจากกรณีการโอนหุ้น พรรคอนาคตใหม่จะดำเนินการอย่างไรต่อไป นายปิยบุตรกล่าวว่า เรามั่นใจว่า กกต. เป็นธรรม เช่นเดียวกับเอกสารหลักฐานทั้งหมด ปัญหาคือ ที่ผ่านมามีสื่อบางสำนักเสนอข่าวนี้อยู่ฝ่ายเดียว เนื้อหาข้อเท็จจริงก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่พาดหัวคนละแบบกันในแต่ละวันจนคนสับสนว่าเรื่องนี้คือเรื่องอะไร แต่เราแน่ใจว่าจะไม่ถูกใบส้มอะไรทั้งสิ้น

นายปิยบุตรกล่าวถึงกรณี ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม เข้ายื่นหนังสือถึง กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติการถือหุ้นบริษัทของว่าที่ ส.ส. และสมาชิกพรรคการเมือง เนื่องจากยังถือครองหุ้น บริษัทที่จดทะเบียนประกอบธุรกิจด้านสื่อสารมวลชนว่า ที่มีบุคคลไปยื่นเรื่องให้ กกต. กรณีขอให้ตรวจสอบผู้สมัคร ส.ส. หรือว่าที่ ส.ส. กว่า 30 คน ทั้งหมดนั้นเป็นนักการเมืองของพรรคการเมืองที่ผนึกกำลังต่อต้านการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทั้งสิ้น ซึ่งขอให้พิจารณาว่าผู้ยื่นมีเจตนาแบบใด หากคุณเป็นนักตรวจสอบมืออาชีพทำไมถึงไม่ตรวจสอบพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. ด้วย

“ข้อกฎหมายที่ไปยื่นกันในมาตรา 98 วรรค 3 และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 42 (3) เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามการถือหุ้นสื่อ ข้อความระบุว่า ห้ามผู้สมัคร ส.ส. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นใด หมายถึงการประกอบกิจการเหล่านี้จริงๆ แต่ทุกวันนี้ที่มีการตรวจสอบกันคือ ไปเอาหนังสือบริคณห์สนธิที่ผู้สมัคร ส.ส. ไปดูสัก 1 วงเล็บว่ามีข้อไหนที่ระบุว่าทำกิจการสื่อมวลชนบ้าง หากมีข้อนั้นก็ไปร้องเรียนทันที ขอเรียนว่ากฎหมายมาตรานี้ต้องเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการสื่อหรือหนังสือพิมพ์จริงๆ จะดูเฉพาะหนังสือบริคณห์สนธิไม่ได้ เพราะหนังสือบริคณห์สนธิเหล่านี้ส่วนใหญ่ไปเอาตัวอย่างมาจากแบบฟอร์มตามมาตรฐานของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งแบบฟอร์มดังกล่าวจะเขียนวงเล็บไว้เต็มไปหมด หนึ่งในนั้นคือการทำกิจการเรื่องสื่อด้วย แต่ในทางปฏิบัติบริษัทต่างๆก็ไม่ได้ทำธุรกิจสื่อ แต่ในหนังสือเขียนเอาไว้เท่านั้นเอง อย่างกรณีที่มีสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ทำบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่ศาลฎีกาก็ตัดสินคดีดังกล่าวโดยไม่ได้เปิดโอกาสให้เราเข้าไปชี้แจงในศาล แต่เมื่อคำพิพากษาเกิดขึ้นแบบนี้แล้วจึงเปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่ชอบร้องเรียนเข้าไปร้องเรียนกันเต็มไปหมด ซึ่งการตีความกฎหมายมาตรานี้ต้องตีความว่าบริษัทนั้นๆทำสื่อจริงๆ ไม่ใช่ไปร้องเรียน ต้องระวังโดนใบส้ม จนจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ พรรคสืบทอดอำนาจก็ต้องระวังจะโดนบ้าง มีคนอีกฝ่ายไปร้องเรียนบ้าง ระวังเดี๋ยวจะตั้งไม่ได้เหมือนกัน อย่าใช้ช่องทางเหล่านี้จนทำให้การเมืองเดินต่อไม่ได้ ผมเชื่อว่าผู้สมัคร ส.ส. แต่ละท่านคงเตรียมการมาอย่างดีสำหรับข้อกฎหมายนี้ ฝ่ายกฎหมายแต่ละพรรคก็ตรวจสอบแน่นอน” นายปิยบุตรกล่าว


You must be logged in to post a comment Login