วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ขัดตาทัพ

On May 7, 2019

คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 7 พ.ค. 62)

ถนนการเมืองยังมุ่งหน้าไปสู่ความวุ่นวายไม่รู้จบ ต่อให้ กกต. ประกาศรับรองผลเลือกตั้ง ส.ส. ทั้ง 2 ระบบ จนเปิดประชุมเพื่อเลือกประธานสภาและนายกรัฐมนตรีได้แล้วก็ยังต้องรอลุ้นสึนามิการเมืองเรื่องถือหุ้นสื่อว่าจะกวาด ส.ส. ตกเก้าอี้ไปกี่มากน้อย หากเป็น ส.ส. ในฝ่ายรัฐบาลถูกสอยร่วงหลายคน เสียงที่ปริ่มน้ำอยู่แล้วก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก ดีไม่ดีเหลือไม่เกินครึ่งจะบริหารประเทศกันอย่างไร ด้วยความวุ่นวายนี้เองจึงเป็นที่มาของรัฐบาลผสมแห่งชาติที่ดังกระหึ่มอยู่ตอนนี้ว่า “เขามาแน่” มาเพื่อขัดตาทัพไม่ให้เกิดความปั่นป่วนไปกว่านี้ แต่ถ้ามาแล้วไม่แก้กติกาหลังเลือกตั้งใหม่ก็วุ่นวายเหมือนเดิม

หลังรอกันมาเดือนเศษ วันนี้ (7 พ.ค.) คนไทยจะได้เห็นหน้าตาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ระบบเขต ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการ

ใครได้รับการรับรองจาก กกต. ก็ไปรายงานตัวที่รัฐสภาเพื่อรับบัตรประจำตัวเป็น ส.ส. อย่างเป็นทางการได้เลย

รุ่งขึ้นอีกวัน กกต. มีนัดประกาศรับรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ แต่ก่อนประกาศก็ต้องรอดูผลตีความจากศาลรัฐธรรมนูญกรณีผู้ตรวจการแผ่นดินส่งคำร้องไปให้ศาลตีความว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 128 ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 91 หรือไม่

ถ้าผลตีความว่าไม่ขัดทุกอย่างก็เป็นไปตามกำหนดเดิม คือประกาศรับรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ แต่ถ้าออกไปอีกทางก็คงวุ่นวายน่าดู

อย่างไรก็ตาม หากดูตามเงื่อนเวลาที่ศาลนัดวินิจฉัยตั้งแต่เช้าคือเวลาประมาณ 09.30 น. ซึ่งต่างจากปรกติที่มักนัดอ่านคำวินิจฉัยในตอนบ่าย ทำให้พอคาดการณ์ผลการตีความได้ว่าไม่น่าจะกระทบกับการประกาศรับรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ

ถ้าผลตีความออกมาว่ากฎหมาย 2 ฉบับขัดกันถือว่าแปลก เพราะต้องไม่ลืมว่าคณะที่ยกร่างรัฐธรรมนูญกับคณะที่ยกร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. เป็นชุดเดียวกัน และพยานหลักฐานที่ศาลเรียกมาพิจารณาก็เป็นบันทึกการประชุมของคณะที่ยกร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ

หากระดับเซียนกฎหมายเขียนกฎหมาย 2 ฉบับขัดกันเองคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เรื่องสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อจึงไม่น่าจะมีอะไรในกอไผ่

ที่น่าห่วงมากกว่าคือเรื่องที่กำลังจะกลายเป็นสึนามิการเมืองอย่างที่นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ทำนายไว้ คือเรื่องว่าที่ ส.ส. ถือหุ้นสื่อที่มีว่าที่ ส.ส. ถูกร้องให้ตรวจสอบมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งว่าที่ ส.ส.โนเนมและบิ๊กเนมระดับหัวหน้าพรรค แกนนำพรรค

แม้นักกฎหมายมือหนึ่งของรัฐบาลอย่างนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะออกมาการันตีว่าคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่ 1706/2562 ที่ตัดสิทธิการเป็นผู้สมัคร ส.ส. ของนายภูเบศวร์ เห็นหลอด ผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เพราะถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชน ไม่ถือเป็นบรรทัดฐานใช้ตัดสินคดีอื่นๆที่มีการฟ้องร้องกันอยู่

แต่กูรูกฎหมายหลายคนก็ออกมาทักท้วงว่า หากเป็นกรณีเดียวกันการตัดสินควรออกมาเหมือนกัน หากตัดสินไปอีกทางจะแสดงให้เห็นถึงความสองมาตรฐาน

ถ้าผู้สมัครหลายคนโดนสอยเพราะกรณีนี้จะเพิ่มดีกรีความวุ่นวายอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม คาดว่า กกต. จะเร่งประกาศรับรอง ส.ส. ไปก่อนเพื่อไม่ให้เกินกรอบเวลา 150 วันตามที่กฎหมายกำหนด ส่วนใครจะโดนสอยร่วงเพราะถือหุ้นกิจการสื่อค่อยว่ากันภายหลัง ขอให้เปิดสภาเลือกประธานสภา เลือกนายกฯ กันให้ได้ก่อน เรื่องอื่นให้ผู้เกี่ยวข้องแก้กันไปทีละข้อ

ประเด็นนี้ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะถึงตอนนี้มีว่าที่ ส.ส. ถูกร้องเรื่องถือหุ้นสื่อไปแล้ว 10 กว่าคน และจะมีทยอยเพิ่มเรื่อยๆ ที่สุดแล้วน่าจะมีกว่า 50 คน ซึ่งเป็นว่าที่ ส.ส. ทั้ง 2 ขั้วการเมือง

ที่สำคัญที่สุดคือ คนที่โดนร้องที่เป็นถึงหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค อาจมีผลกระทบแรงไปถึงการยุบพรรคตามมา การเมืองจึงมีแต่ความวุ่นวายรออยู่เบื้องหน้า

แม้จะเลือกประธานสภาได้แล้ว เลือกนายกฯได้แล้ว แต่หาก ส.ส. ในฝ่ายรัฐบาลถูกสอยร่วงหลายคน เสี่ยงที่ปริ่มน้ำอยู่แล้วก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก ดีไม่ดีเหลือไม่เกินครึ่งจะบริหารประเทศกันอย่างไร สภาพการเมืองตอนนี้ไม่ต่างจากลิงแก้แหที่ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง

ด้วยความวุ่นวายนี้เองจึงเป็นที่มาของรัฐบาลผสมแห่งชาติที่ดังกระหึ่มอยู่ตอนนี้ว่า “เขามาแน่” มาเพื่อขัดตาทัพไม่ให้เกิดความปั่นป่วนมากไปกว่านี้ แต่ถ้ามาแล้วไม่แก้กติกาหลังเลือกตั้งใหม่ก็วุ่นวายเหมือนเดิม


You must be logged in to post a comment Login