วันพฤหัสที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ปริศนาฆ่าเงียบ

On May 10, 2019

คอลัมน์ : ร้ายสาระ

ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 10-17 พฤษภาคม 2562 )

คนร้ายไม่ต่ำกว่า 2 คนบุกสังหารคนถึงในบ้าน คร่าชีวิต 4 แม่ลูกอย่างโหดเหี้ยมด้วยค้อนและมีดจนเลือดสาดกระจายไปทั่วบ้าน แต่เพื่อนที่อยู่ห่างออกไปเพียง 15 ฟุต กลับไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นสิ่งผิดปรกติใดๆ

เกลนนา ซูซาน ชาร์บ หรือที่เพื่อนๆเรียกชื่อเล่นว่า “ซู” วัย 35 ปี หย่าร้างกับสามีในปี 1980 หลังจากนั้นเธอก็หอบหิ้วลูกๆ 5 คนออกจากบ้านไปหาที่อยู่ใหม่ ประกอบด้วย จอห์น บุตรชายคนโตวัย 15 ปี ชีล่า บุตรสาววัย 14 ปี ทิน่า วัย 12 ปี ริก วัย 10 ขวบ และเกรก วัย 5 ขวบ ซูเช่าบ้านสองชั้นที่เคดดี้รีสอร์ต ตั้งอยู่ในชนบทเมืองเคดดี้ รัฐแคลิฟอร์เนีย

เวลา 15.30 น. วันที่ 11 เมษายน 1981 จอห์นออกจากบ้านไปเที่ยวกับดาน่า วินเกต แฟนสาว ขณะที่ทิน่าไปนอนดูโทรทัศน์ที่บ้านของครอบครัวซีโบล์ต บ้านเช่าหลังถัดออกไปห่างกันเพียงแค่ 15 ฟุต เวลา 20.00 น. ชีล่าขออนุญาตไปนอนกับเพื่อนที่บ้านครอบครัวซีโบล์ต ขณะที่ทิน่ากลับมาบ้านในเวลา 21.30 น.

คืนนั้นจัสติน อีสัน วัย 12 ปี เพื่อนของเกรก มาขอนอนค้างคืนที่บ้านซู จัสตินอยู่บ้านหลังถัดไปจากบ้านของครอบครัวซีโบล์ตอีกที บ้านของซูเป็นหลังที่ 28 บ้านซีโบล์ตหลังที่ 27 และบ้านอีสันหลังที่ 26 จัสตินอาศัยอยู่กับแม่ชื่อมาริลีนและพ่อเลี้ยงชื่อมาร์ติน จอห์นและดาน่ากลับมาถึงบ้านระหว่างช่วงเวลา 22.00-01.00 น.

สังหารโหด

เวลา 07.00 น. วันที่ 12 เมษายน ชีล่ากลับมาบ้าน เมื่อเปิดประตูก็ต้องพบกับภาพสุดช็อก แม่กับพี่ชายและเพื่อนสาวนอนเสียชีวิตจมกองเลือดอยู่กลางห้อง ชีล่ารีบวิ่งกลับไปที่บ้านครอบครัวซีโบล์ต หลังจากได้รับแจ้งเหตุร้าย แจน อัลบิน เจ้าของเคดดี้รีสอร์ต รีบโทรศัพท์แจ้งตำรวจ

ขณะรอตำรวจ ชีล่าและครอบครัวซีโบล์ตปีนหน้าต่างห้องนอนช่วยเหลือเกรก ริก และจัสติน นำตัวออกจากห้องนอนชั้นสองของบ้าน ระหว่างเกิดเหตุพวกเขานอนหลับจึงไม่ได้รับอันตราย แต่ทิน่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ผู้ช่วยนายอำเภอแฮงค์ คลีเมนต์ เดินทางมาถึงเวลา 08.05 น. จากการชันสูตรพบร่างของจอห์นนอนหงายจมกองเลือดอยู่หน้าประตู มือและเท้าถูกมัดด้วยสายไฟและเทปยางยืดที่แพทย์ใช้ เนื้อตัวมีร่องรอยถูกทำร้ายด้วยค้อนและมีด ที่ลำคอมีบาดแผลถูกเฉือนด้วยมีด กะโหลกศีรษะยุบ ข้างๆกันคือร่างของดาน่า ถูกมัดข้อเท้าด้วยสายไฟติดกับข้อเท้าจอห์น

ร่างของซูถูกคลุมด้วยผ้าห่ม เธอถูกถลกกางเกงหลุดจากเอว คนร้ายถอดกางเกงในเธอนำมายัดใส่ในปาก ศีรษะมีบาดแผลถูกทำร้ายด้วยค้อนและมีด ลำคอถูกมีดปาดจนเป็นแผลเหวอะหวะ รอยเลือดกระจายทั่วห้องบอกเป็นนัยว่าคนร้ายเป็นคนโรคจิต

ไร้พยาน

เด็ก 3 คน เกรก ริก และจัสติน นอนหลับสนิทไม่รู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นในบ้าน เพื่อนบ้านข้างเคียงไม่เห็นหรือได้ยินสิ่งผิดปรกติใดๆทั้งๆที่คน 3 คนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมแม้ว่าบ้านแต่ละหลังจะอยู่ห่างกันเพียง 15 ฟุตเท่านั้น นอกจากครอบครัวหนึ่งยอมรับว่าเหมือนได้ยินเสียงร้องเบาๆ แต่เธอไม่ได้ให้ความสนใจ

ประตูและหน้าต่างยังอยู่ในสภาพดี ไม่มีร่องรอยการบุกรุก สันนิษฐานว่าซูรู้จักคนร้ายและเปิดประตูให้พวกเขาเข้ามาเอง ตำรวจไม่พบรอยนิ้วมือคนแปลกหน้า เป็นไปได้ว่าคนร้ายสวมถุงมือขณะก่อเหตุ ตำรวจไม่พบหลักฐานอื่นนอกจากค้อนและมีดที่คนร้ายใช้เป็นอาวุธตกอยู่ในที่เกิดเหตุ

ตำรวจต้องขอให้สะกดจิตเด็ก 3 คน เผื่อว่าพวกเขาอาจได้ยินเสียงอะไรในคืนเกิดเหตุเพื่อนำมาเป็นหลักฐานสาวไปหาตัวคนร้ายได้ จัสตินบอกว่าเขาเห็นผู้ชาย 2 คน คนหนึ่งผมยาวไว้หนวด อีกคนผมสั้นไม่มีหนวด 1 ใน 2 คนนั้นถือค้อนมาด้วย

คล้ายกับว่าซูได้นัดหมายพวกเขาเอาไว้ หลังจากเกิดการถกเถียงและต่อสู้กัน ชายคนหนึ่งลากตัวทิน่าออกไปนอกบ้าน และนั่นคือข้อมูลที่ได้จากการสะกดจิตจัสติน ตำรวจทำการสเกตช์ภาพคนร้ายแต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ลักษณะคนร้ายไม่ตรงกับใครในละแวกนั้น

ไร้หลักฐาน

ผู้ต้องสงสัยมี 2 คนคือ มาร์ติน สมาร์ท พ่อเลี้ยงของจัสติน กับเพื่อน จอห์น โบดิบี ซึ่งอาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ทั้งคู่มีประวัติเกี่ยวข้­องกับองค์กรอาชญากรรม มาร์ตินยอมรับว่ามีค้อนแบบเดียวกับที่ใช้ก่อเหตุแต่มันหายไปแล้ว ส่วนจอห์นย้ายออกจากบ้านไปตั้งแต่วันเกิดเหตุ

ตำรวจไม่มีหลักฐานจะจับกุมมาร์ตินและจอห์น ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตามสืบสวนคนทั้งสองต่อ ส่วนทิน่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจนกระทั่งวันที่ 22 เมษายน 1984 หรืออีก 3 ปีต่อมา มีคนพบโครงกระดูกบริเวณน้ำตกเฟเธอร์ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองเคดดี้ 100 ไมล์

ทิน่าไม่ได้ถูกพบโดยบังเอิญ แต่มีโทรศัพท์ลึกลับโทร.มาแจ้งกับตำรวจ และจากการชันสูตรยืนยันว่าเป็นโครงกระดูกทิน่า แต่คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งเคดดี้รีสอร์ตถูกรื้อทิ้งไปในปี 2004 และคดีนี้ก็ถูกเก็บเข้าลิ้นชักแล้วถูกลืมเลือนไป

จงใจมองข้าม

ปี 2013 นายอำเภอเกรก แฮกวูด และผู้สืบสวนพิเศษไมค์ แกมเบิร์ก ช่วยกันรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาสืบสวนอีกครั้ง พวกเขาพบหลักฐานมากมายหมกอยู่ก้นกล่องเก็บหลักฐานที่ตำรวจในสมัยนั้นไม่นำออกมาใช้ โดยเฉพาะจดหมายที่มาร์ตินเขียนถึงภรรยา

คืนวันเกิดเหตุวันที่ 11 เมษายน 1981 มาริลีนตัดสินใจแยกทางเดินกับมาร์ติน ซึ่งนั่นอาจเป็นสาเหตุให้จัสตินขออนุญาตมานอนค้างคืนที่บ้านของซู หลังจากเกิดเหตุแล้วมาร์ตินเขียนจดหมายถึงภรรยามีใจความว่า “ฉันได้จ่ายค่าความรักที่มีต่อเธอด้วยชีวิตของคน 4 คน แต่เธอกลับบอกเลิก เยี่ยมมาก เธอยังต้องการอะไรอีก?”

มาริลีนได้มอบจดหมายฉบับนี้ให้กับตำรวจ แต่ตำรวจไม่ได้นำมันมาเป็นหลักฐานเพื่อเค้นเอาความจริงกับมาร์ติน จากการสืบสวนของเกรกและไมค์พบว่า จริงๆแล้วมีหลายคนที่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน และยังรู้อีกว่ามาร์ตินสนิทสนมกับนายอำเภอเมืองเคดดี้ในสมัยนั้น จึงทำให้ไม่มีการสืบสวนมาร์ตินในเชิงลึก

มีทฤษฎีมากมายที่พยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ทฤษฎีที่น่าสนใจที่สุดคือ มาริลีนแสดงความสนใจเป็นพิเศษในตัวจอห์น บุตรชายวัย 15 ปีของซู ทำให้มาร์ตินเกิดความหึงหวง และเมื่อมาริลีนบอกเลิกทำให้เขาเคียดแค้น คิดว่าจอห์นเป็นต้นเหตุ จึงบุกมาสังหารโหดแทบยกครัว

เป็นที่น่าเสียดายว่าจอห์น โบดิบี เสียชีวิตในปี 1988 ขณะที่มาร์ติน สมาร์ท เสียชีวิตในปี 2006 จึงไม่สามารถนำตัวพวกเขามาสอบสวนหาความจริงได้ แต่เกรกและไมค์ก็จะยังคงเดินหน้าค้นหาความจริงว่าใครคือคนร้าย และอะไรคือเหตุจูงใจให้ก่ออาชญากรรม

1

1.เกลนนา ซูซาน ชาร์บ และลูกๆ 5 คน

2

2. (จากซ้าย) จอห์น, ทิน่า, ดาน่า และซู

3

3.บ้านเช่าในเคดดี้รีสอร์ตอยู่ห่างกันแค่ 15 ฟุต

4

4.บ้านเกิดเหตุหมายเลข 28

5

5.เกลนนา ซูซาน ชาร์บ

6

6.จอห์นและดาน่าถูกผูกข้อเท้าติดกันด้วยสายไฟ

7

7.รอยเลือดกระจายทั่วห้อง

8

8.ค้อนและมีดพบในที่เกิดเหตุ

9

9.คนร้ายใช้สายไฟและเทปยางยืดมัดข้อเท้าเหยื่อ

10

10.ภาพสเกตช์ใบหน้าคนร้ายจากการสะกดจิตจัสติน

11

11.จอห์น โบดิบี


You must be logged in to post a comment Login