วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

“โอ๊ค”ชี้ปัญหาการเมืองแก้ไม่ยากถ้า”ปชป.-ภท.”ฟังเสียงประชาชน

On May 21, 2019

นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊คถึงการจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยเป็นตัวแปรสำคัญในตอนนี้ โดยระบุว่า

ปัญหาการเมืองไทยแก้ไม่ยากหากทุกพรรคมีความเชื่อมั่นในเสียงของประชาชนครับ

การเลือกตั้ง 24 มีนาคมที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศอุตส่าห์ตั้งตารอมาเกือบจะครบ 5 ปี ผลลัพธ์เป็นอย่างไรมาดูกัน

พรรคที่ประกาศตัวสืบทอดอำนาจลุงตู่ได้ ส.ส. รวมกันเพียง 120 กว่าคน แต่ตั้งธงไว้ว่าจะต้องเป็นรัฐบาล และลุงตู่ต้องอยู่ต่อให้ได้

ส่วนพรรคที่ประกาศตัวไม่สนับสนุนลุงตู่ โดนดูดก็แล้ว โดนขู่ก็แล้ว โดนเขียนรัฐธรรมนูญให้ยิ่งได้ ส.ส.เขตมากเท่าไร พรรคยิ่งเล็กลงเท่านั้น โดนบัตรเขย่ง โดนนับคะแนนแจกพรรคเล็ก โดนสารพัดจะโดน ยังได้ ส.ส. ถึง 245 คน มากกว่าพรรคฝ่ายสืบทอดอำนาจให้ลุงเกิน 2 เท่าตัว

ตัวแปรจึงมาตกอยู่กับพรรคที่อยู่ตรงกลางที่มี ส.ส. รวมกันร้อยคนเศษ หากจะไปรวมกับขั้วสืบทอดอำนาจให้ลุงก็จะได้รัฐบาลปริ่มน้ำที่ไม่มีเสถียรภาพ และต้องพึ่งความหวังจากน้ำบ่อหน้าจากการยุบพรรคอีกฝ่ายเพื่อซื้อตัว ส.ส. ที่กระจัดกระจายมาช่วยเสริมทัพ และต้องหาซื้องูเห่ามาเลี้ยง ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนให้การเมืองไทยเน่าเหม็นย้อนยุคไปอีกหลายสิบปี

หากตัวแปร 100 กว่าเสียงนี้ เข้าร่วมกับขั้วประชาธิปไตยที่ไม่สนับสนุนลุง จะทำให้ได้รัฐบาลร่วม 350 เสียง ซึ่งในภาวะปรกติถือว่าเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงมาก #ประชาธิปไตยไปต่อได้อย่างสบาย และการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะลงตัวไปนานแล้ว แต่ในยุคที่ลุงเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยอาจไปได้ยากหน่อย

ที่สำคัญพรรคตัวแปรนี้มี 2 พรรคใหญ่ ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้ให้สัญญากับพี่น้องประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้งดังนี้
พรรคประชาธิปัตย์ได้ให้สัญญาเอาไว้ชัดเจนว่า

1.พรรคจะไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ (เน้นย้ำชัดเจนว่า “ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายก” ไม่ได้ใช้สรรพนามอื่น)

2.พรรคจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่สืบทอดอำนาจ (ก็หมายถึงการสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์อีกแหละ)

3.แถมยังปิดประตูการบิดพลิ้วในอนาคตด้วยการยืนยันว่า 2 ข้อข้างต้นคือ “อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์” และย้ำว่าไม่มีพรรคการเมืองใดลงมติสวนทางอุดมการณ์ของพรรค..!!

ตามลิ้งค์ด้านล่างนี้
https://www.facebook.com/17171146143/posts/10156657524736144?s=570054635&v=e&sfns=mo

ซึ่งถ้าเรานับเสียง ส.ส. ของทุกพรรคที่ประกาศว่า “ไม่เอาลุง” รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย จะมี ส.ส. รวมกันถึง 297 เสียง ชนะพรรคที่จะเอาลุงอย่างขาดลอยทีเดียว

ส่วนพรรคภูมิใจไทยก็สัญญาไว้หนักแน่นว่า พรรคจะร่วมรัฐบาลกับขั้วการเมืองที่ได้ ส.ส. ในสภาเยอะที่สุด เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงสุด ทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และจะไม่ยอมให้ ส.ว. 250 เสียง มากำหนดอนาคตประเทศ สวนทางจากฉันทานุมัติของประชาชน

ซึ่งตัวเลข 245:120 ก็ชัดเจนว่าพรรคภูมิใจไทยนำพรรคมาร่วมกับฝั่งไหน การเมืองจึงจะมีเสถียรภาพในสภามากกว่ากัน และถ้า 2 พรรคนี้มาร่วมรัฐบาล เราจะมีเสียงในสภาถึง 348 เสียง จาก 498 เสียง เราจะได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพแน่นปึ้ก ประชาธิปไตยไปต่อได้สบาย

ตามลิ้งค์ด้านล่างนี้
https://thestandard.co/thailandelection2562-bhumjaithai-st…/

เผด็จการคือการใช้อำนาจอยู่เหนือประชาชน ส่วนประชาธิปไตยคือระบบที่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

แต่ฉันทานุมัติของประชาชนจำต้องส่งผ่านไปยังนักการเมืองให้ไปยกมือโหวตให้ในสภา การที่นักการเมืองไม่รักษาคำพูดและยกมือสวนทางกับที่สัญญาไว้ คือการเปิดโอกาสให้เผด็จการเข้ามาสวมหัวโขนเป็นประชาธิปไตยได้สะดวก ขัดต่อฉันทามติของคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ประชาธิปไตยของไทยจะไปในทิศทางใด จะเริ่มต้นศักราชใหม่หลังจากอึมครึมมา 5 ปี หรือจะยังคงสืบทอดอำนาจให้อยู่กับลุงตู่คนเดิมต่อไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อของ 2 พรรคหลักที่ยังอยู่ตรงกลาง

“ถ้าคิดว่าอำนาจเป็นของประชาชน (ไม่ใช่ของลุง) #ประชาธิปไตยจะชนะ และ #เราจะชนะไปด้วยกัน”

ถ้าคิดจะเกรงกลัวเผด็จการก็ไม่ควรมีการเลือกตั้งที่ใช้งบประมาณไปกว่า 5 พันล้าน เพราะเสียงของประชาชนที่มากกว่าเกิน 2 เท่า ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และประเทศไทยจะได้รัฐบาลที่ปวกเปียกปริ่มน้ำมาบริหารประเทศแบบ 5 ปีที่ผ่านมา

ประชาชนออกไปเลือกตั้งเพราะหวังจะได้การปกครอง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่แท้จริง มิได้ต้องการให้การเลือกตั้งเป็นเพียงการ #ชุบตัวเผด็จการให้ดูเป็นประชาธิปไตย

อนาคตประเทศไทยอยู่ภายใต้การตัดสินใจของ 2 พรรคการเมืองที่ชื่อ…

“พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทย” ครับ


You must be logged in to post a comment Login