- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 6 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ตายไม่ทิ้งรอย
คอลัมน์ : ร้ายสาระ
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 24-31 พฤษภาคม 2562 )
พบร่างชายหนุ่มและหญิงสาวนอนกึ่งเปลือยอยู่ใกล้กันในอุทยาน ทั้งคู่เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ไม่พบบาดแผลใดๆบนร่างกาย ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ตำรวจมืดแปดด้านไม่รู้สาเหตุการเสียชีวิตของทั้งสองคน
เช้าเวลา 07.45 น. วันที่ 1 มกราคม 1963 เด็กชาย 2 คนชวนกันออกไปหาลูกกอล์ฟตามริมฝั่งแม่น้ำเลนโคฟ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากบริเวณนั้นมีสนามกอล์ฟ และมักจะมีนักกอล์ฟตีลูกพลาดมาตกแถวๆริมฝั่งแม่น้ำบ่อยๆ
เมื่อเดินมาถึงบริเวณใกล้สะพานฟูลเลอร์ก็เห็นชายคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะคืนก่อนหน้ามีงานเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันทั้งเมือง ชายคนนี้คงเมาจนกลับบ้านไม่ไหวมานอนหมดสติอยู่ในอุทยานเลนโคฟ เด็กทั้ง 2 คนจึงเดินจากไป
กว่า 1 ชั่วโมงผ่านไป เด็กทั้ง 2 คนเดินย้อนกลับมาทางเก่าพบว่าชายขี้เมายังคงนอนอยู่ที่เดิม ที่แปลกก็คือเขานอนอยู่ในท่าเดิมไม่ได้ขยับตัวเปลี่ยนท่าแม้แต่น้อย เด็กทั้ง 2 คนจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นว่าใบหน้าของชายขี้เมาเป็นสีเขียวคล้ำ เด็กทั้ง 2 คนเกรงว่าชายคนนี้อาจได้รับอันตรายจึงรีบไปแจ้งตำรวจ
ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสอง
ชายที่เด็กคิดว่าเป็นคนขี้เมานั้นเสียชีวิตแล้ว เขาสวมเสื้อสูทแต่ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมาเปลือยเปล่ามีเพียงผ้าห่มคลุม กางเกงถูกพับอย่างเรียบร้อยวางอยู่ข้างศีรษะ เมื่อตำรวจสำรวจรอบๆที่เกิดเหตุก็พบร่างหญิงสาวในลักษณะกึ่งเปลือยนอนเสียชีวิตอยู่ไม่ไกลกันนัก มีแผ่นลังกระดาษปกปิดร่างกาย
ร่างของชายหนุ่มคือ ดร.กิลเบิร์ต โบเกิล นักฟิสิกส์ชั้นหัวกะทิวัย 38 ปี ทำงานอยู่ที่ Commonwealth Scientific and Industrial Research Organization (CSIRO) เขามีแผนการที่จะเดินทางไปอเมริกาพร้อมกับครอบครัวเพื่อวิจัยงานควอนตัมอิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันในไม่กี่วันข้างหน้า แต่ต้องมาเสียชีวิตเสียก่อน
ร่างหญิงสาวคือ มาร์กาเร็ต แชนด์เลอร์ วัย 28 ปี ซึ่งบังเอิญว่าเธอเป็นภรรยาของจอฟฟรีย์ แชนด์เลอร์ ช่างภาพของ CSIRO ทำงานอยู่ที่เดียวกันกับ ดร.กิลเบิร์ต ทั้งสองคนมาที่อุทยานเลนโคฟทำไม และอะไรคือสาเหตุการเสียชีวิตของพวกเขา
กิลเบิร์ตได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิง ขณะที่มาร์กาเร็ตไม่มีความสุขในชีวิตแต่งงาน นั่นตอบคำถามข้อแรกได้ว่าพวกเขามาที่ริมแม่น้ำเลนโคฟทำไม คืนวันส่งท้ายปีเก่าพวกเขาไปเฉลิมฉลองกันในเมืองแชตส์วูด ก่อนจะกลับออกไปเมื่อเวลาประมาณ 04.00 น. หรือเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่จะมีคนพบร่างพวกเขา
ไร้ผู้ต้องสงสัย
ริมฝั่งแม่น้ำในอุทยานเลนโคฟได้ชื่อว่าเป็นสถานที่พลอดรัก หนุ่มสาวมักจะชวนกันมาจู๋จี๋ แต่จากการชันสูตรไม่พบร่องรอยของการร่วมเพศแต่อย่างใด และยิ่งไปกว่านั้น นอกจากรอยจ้ำเล็กๆสีม่วงบนผิวหนัง ไม่พบบาดแผลใดๆบนร่างกายของทั้งสองคน ไม่มีรอยรัดคอ ไม่มีสารพิษในร่างกาย ไม่มีร่องรอยที่จะระบุได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุการเสียชีวิต
สาเหตุการเสียชีวิตของทั้งสองคนเกิดจากระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว พวกเขาอาเจียนก่อนจะเสียชีวิต ทำให้ตำรวจได้แต่สันนิษฐานว่าคนร้ายอาจใช้ยาพิษที่ออกฤทธิ์เร็วและรุนแรงหยดลงบนร่างของเหยื่อ จึงเหลือหลักฐานแค่เพียงรอยจ้ำเล็กๆสีม่วง แต่จากการชันสูตรไม่พบสารพิษใดๆในร่างกาย
เนื่องจากทั้งคู่มีครอบครัวอยู่แล้ว ทำให้ตำรวจเพ่งเล็งไปที่คู่สมรสของพวกเขา โดยเฉพาะจอฟฟรีย์ สามีของมาร์กาเร็ต แต่พบความจริงว่าจอฟฟรีย์ค้างคืนอยู่กับภรรยาน้อย อีกทั้งเขารู้ความสัมพันธ์ของภรรยากับกิลเบิร์ตอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นความลับอะไร เพราะเขาและภรรยาตกลงยินยอมให้ต่างฝ่ายต่างมีคู่นอนคนอื่นได้ ขณะที่ภรรยาของกิลเบิร์ตฉลองส่งท้ายปีเก่าอยู่ที่บ้านกับลูกๆ 4 คนตลอดทั้งคืน
ตำรวจตั้งข้อสงสัยว่ากิลเบิร์ตอาจเกี่ยวข้องกับงานวิจัยลับสุดยอด การที่เขาตัดสินใจจับมือกับนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันทำให้เขาถูกสั่งเก็บเพื่อปกปิดไม่ให้งานวิจัยลับสุดยอดรั่วไหลออกไป ขณะที่มาร์กาเร็ตไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาก็เลยถูกสังหารไปด้วย แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานที่ขาดหลักฐานยืนยัน
มลภาวะเป็นพิษ
สาเหตุการเสียชีวิตของกิลเบิร์ตและมาร์กาเร็ตเป็นปริศนานานหลายสิบปี จนกระทั่งในปี 2006 รายการสารคดีของปีเตอร์ บัตต์ ตั้งสมมุติฐานใหม่ว่าทั้งคู่ไม่ได้ถูกฆาตกรรม หากแต่เสียชีวิตจากการสูดดมก๊าซพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมแถวนั้นปล่อยทิ้งของเสียลงแม่น้ำ
ปีเตอร์อ้างว่าจากการสัมภาษณ์ชาวบ้านละแวกนั้น พวกเขาบอกได้กลิ่นก๊าซไข่เน่าเป็นประจำ และรอยจ้ำๆสีม่วงที่พบบนผิวหนังของผู้เสียชีวิตบ่งบอกว่าเป็นก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ ในวันเกิดเหตุกิลเบิร์ตและมาร์กาเร็ตสูดดมก๊าซพิษขณะที่กำลังจะเล่นจ้ำจี้กัน ตำรวจจึงพบร่างของทั้งสองคนในลักษณะกึ่งเปลือย
ปีเตอร์ยังพบพยานอีกคนให้การว่า เธอและเพื่อนไปเดินหากระเป๋าที่ทำหล่นริมแม่น้ำเลนโคฟ บังเอิญเห็นกิลเบิร์ตและมาร์กาเร็ตกำลังเล่นจ้ำจี้กันอยู่ก็เลยแอบอยู่ห่างๆ เธอได้ยินเสียงมาร์กาเร็ต “หยุดทำไม อย่าหยุดซิ” แต่กิลเบิร์ตไม่ตอบ แต่แล้วจู่ๆมาร์กาเร็ตก็เอามือจับที่คอเหมือนหายใจไม่ออกแล้วรีบวิ่งออกไป
พยานยืนยันว่าตอนแรกได้กลิ่นก๊าซไข่เน่าโชยมา แต่เมื่อเดินห่างออกมาก็ไม่ได้กลิ่น เธอคิดว่ากิลเบิร์ตและมาร์กาเร็ตคงเมายาถึงได้แสดงท่าทางแปลกๆจึงไม่ได้สนใจ แต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่คำบอกเล่าของผู้ที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง
ปีเตอร์ยังบอกอีกว่าพบพยานอีกคนเป็นคนฝึกสุนัข เขายอมรับว่าพบผู้เคราะห์ร้ายในสภาพกึ่งเปลือยจึงนำผ้าห่มและลังกระดาษมาคลุมไม่ให้อุจาดตา แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่มีหลักฐานใดๆยืนยันว่าสิ่งที่เขาบอกเป็นความจริง การเสียชีวิตของกิลเบิร์ตและมาร์กาเร็ตยังคงเป็นปริศนาจวบจนทุกวันนี้
1.กิลเบิร์ตและมาร์กาเร็ตเสียชีวิตอย่างปริศนา
2.ตำแหน่งต่างๆบริเวณที่เกิดเหตุ
3.จุดจอดรถทางเข้าอุทยานเลนโคฟ
4.บริเวณที่พบร่างผู้เคราะห์ร้าย
5.ตำแหน่งที่พบร่างผู้เคราะห์ร้าย
6.ตำรวจค้นหาหลักฐานในที่เกิดเหตุ
7.ดร.กิลเบิร์ต โบเกิล
8.มาร์กาเร็ต แชนด์เลอร์
9.จอฟฟรีย์ แชนด์เลอร์
You must be logged in to post a comment Login