- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ผลัดกันขี่คอ
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น
(โลกวันนี้รายวัน ประจำวันที่ 6 มิ.ย.62)
หลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี อำนาจการต่อรองเรื่องตำแหน่งต่างๆในรัฐบาลจะเปลี่ยนมือ จากที่พรรคร่วมรัฐบาลขี่คอพรรคพลังประชารัฐมาตลอดจะกลับมาเป็นพรรคพลังประชารัฐได้ขึ้นขี่คอพรรคร่วมรัฐบาลบ้าง เชื่อได้เลยว่าตำแหน่งสำคัญที่เป็นปัญหาทำให้การตัดสินใจร่วมรัฐบาลของบางพรรคล่าช้า สุดท้ายแล้วจะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐทั้งหมด
ใครที่นั่งดูการอภิปรายของ ส.ส. และ ส.ว. ในสภาก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะเห็นว่าการเมืองแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอย่างสุดโต่ง ไม่มีตรงกลาง และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป แม้ในการเลือกตั้งจะมีพรรคการเมืองหลายพรรค แต่จะแบ่งเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจน
ความจริงผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ เพราะจะเป็นไปอย่างที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว
ความน่าสนใจอยู่ที่หลังประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีมากกว่า เพราะถึงตอนนั้นการต่อรองกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเรื่องแบ่งโควตารัฐมนตรีจะมีความเข้มมากขึ้น
แม้จะมีการตกปากรับคำกันไว้เป็นเบื้องต้นจนแถลงร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลแล้ว แต่ทุกอย่างยังเปลี่ยนแปลงได้
ที่สำคัญอำนาจการต่อรองจะเปลี่ยนไป จากที่พรรคร่วมรัฐบาลถือไพ่เหนือกว่าจะเปลี่ยนมาเป็นพรรคพลังประชารัฐกลับมามีอำนาจต่อรองเหนือกว่า ไม่ต่างกับการผลัดกันขี่คอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจการต่อรองของพรรคประชาธิปัตย์ จากที่เคยขี่คอพรรคพลังประชารัฐ ก็จะถูกพรรคพลังประชารัฐโดดขึ้นขี่คอบ้าง
ถ้าดูจากเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ใช้เป็นข้ออ้างในการเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐก็ดูเหมือนว่าจะรู้สถานะของตัวเองดี และพร้อมที่จะยอมให้พรรคพลังประชารัฐขี่คออยู่แล้ว
ที่ทำเป็นขึงขังก่อนหน้านี้ก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของพรรคเอาไว้เท่านั้น
ต้องไม่ลืมว่าหลายเหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์หยิบยกมากล่าวอ้างยังไม่มีการตกปากรับคำอย่างจริงจังจากพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นที่ดูเหมือนจะเป็นข้ออ้างเดียวที่สร้างความชอบธรรมในการตัดสินใจครั้งนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ได้มากที่สุด
ส่วนเรื่องตำแหน่งรัฐมนตรีทั้งว่าการและช่วยว่าการในกระทรวงสำคัญ เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำใจตั้งแต่ต้นแล้วว่าสุดท้ายจะไม่ได้ตามคำขอทั้งหมด หรืออาจจะไม่ได้ตามคำขอเลย
ไม่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะหยิบยื่นอะไรมาให้ก็ต้องรับ
ทั้งนี้เพราะเมื่อดูจากผลคะแนนที่ ส.ส. และกรรมการบริหารพรรคลงมติให้เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐแล้ว ดูเหมือนว่าพวกตัวเป็นประชาธิปัตย์แต่ใจเป็นพลังประชารัฐจะมีจำนวนมาก
เมื่อมีใจให้อะไรก็ได้
อย่างไรก็ตาม อาจมีขัดขืนนิดหน่อยเพื่อสร้างราคาแต่สุดท้ายก็ยอม อารมณ์เหมือนนางเอกดิ้นรักษาอาการตอนถูกพระเอกปล้ำในละคร
สรุปคือพรรคประชาธิปัตย์ยอมเข้าร่วมรัฐบาลทั้งที่รู้ว่าจะถูกพรรคพลังประชารัฐขี่คอหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้เพราะเมื่อดูจากมติเข้าร่วมรัฐบาลแสดงให้เห็นชัดว่ากลุ่มที่มีใจให้พรรคพลังประชารัฐที่ดูเหมือนว่าพ่ายแพ้ในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคได้ยึดพรรคไปแล้วนั่นเอง
You must be logged in to post a comment Login