วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ช่อนี้.. กลิ่นแรง!! #RIPTHAILAND

On June 14, 2019

คอลัมน์ : เรื่องจากปก
ผู้เขียน : ทีมข่าวการเมือง

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 14-21 มิถุนายน 2562 )

“ทนผมไปอีกหน่อยนะ ตอนนี้ก็มาทวงแล้ว ไหนว่าจะ “ขอเวลาอีกไม่นาน” ไอ้ตอนเขียนก็ไม่ได้เจตนาตรงนี้นะ มันเอามาทวงแล้ว ไหนไม่นาน ไม่นานคืนความสุข มันสุขจริงหรือยัง ถ้ามันสุขจริงแล้วผมก็คืนเลย พรุ่งนี้ก็ให้ได้ ถ้าเราคิดว่ามันพร้อมนะ วันนี้ต้องขอบคุณในส่วนของพรรคการเมืองเริ่มเข้าใจแล้ว บางพรรคเข้าใจ บางพรรคก็เหมือนเดิม ก็หัวทิ่มหัวตำอยู่เหมือนเก่า เอาล่ะ ช่างมัน สู้ได้อยู่แล้ว สู้ด้วยความดี”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงตอนหนึ่งหลังรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี และกล่าวถึงพรรคที่ร่วมรัฐบาลว่า ต้องเป็น “รัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ” และจะนำนโยบายของทุกพรรคมาปรับเพื่อให้สอดคล้องกับงบประมาณ

พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่า ทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลง ซึ่งก่อนหน้านี้ก๊วนในพรรคพลังประชารัฐพยายามเจรจาให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคภูมิใจไทยยอมคืนกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงคมนาคม แม้แต่นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ก็บอกว่าในฐานะพรรคแกนนำจำเป็นต้องมีกลไกของรัฐในกระทรวงหลักทางเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดความคล่องตัวในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัวและมีความเสี่ยง

โดยเฉพาะนายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ที่โพสต์เฟซบุ๊คเหน็บแนมว่า กระทรวงมีไว้ให้ทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่มีไว้ให้เข้าไปหางานเพื่อบริษัท จึงแลกเปลี่ยนได้ ถ้าจะเอาไปเพื่อประโยชน์บริษัทใดต้องหาความเหมาะสม เพื่อไม่ให้คนนินทาว่าเลือกกระทรวงให้บริษัท

ทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องโพสต์เฟซบุ๊คหลายครั้งตอบโต้ว่า “กระทรวงมีไว้ให้คนเข้าไปทำงาน ไม่ใช่มีไว้ให้มาเที่ยวแลกไปมา” ทั้งยังบอกว่า “พวกนี้ต้องใช้ตะกร้อครอบปาก”

ส่วนคำถามว่าถ้ามีการรัฐประหารอีกรอบจะทำยังไง นายอนุทินตอบว่า “ออกมาต่อต้านครับ” ที่น่าสนใจคือนายอนุทินยังตอบคำถามที่ว่า “กัญชาเสรีกับยุบสภา..อะไรจะเกิดก่อนกัน” ว่า “พอๆกัน”

 

พปชร. แย่งเก้าอี้กันเอง

นายสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ถึงการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการต่อรองผลประโยชน์ว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะต่อรองเป็นสิทธิและเป็นเรื่องปกติ แต่การต่อรองในพรรคแกนนำกันเองนี่มันน่าละอาย โดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งนี้ (ความเห็นส่วนตัว) 80% คนที่เลือกพรรคพลังประชารัฐเพราะอยากเห็นลุงตู่เป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศต่อ ไม่ได้อยากเห็นคนนั้นคนนี้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงโน้นนี้

นายสกลธียังระบุว่า การที่ใครมาอ้างว่ามี ส.ส. ในมือเท่านั้นเท่านี้แล้วมาต่อรองต้องได้เป็นอะไรก็ตาม ละอายใจบ้างเถอะ คิดถึงประเทศบ้าง อย่าเอาแต่ความอยากได้อยากเป็นของตัวเองเป็นที่ตั้ง ที่ผ่านมาคนก็คลื่นเหียนนักการเมืองมามากพอแล้ว ปล่อยให้นายกรัฐมนตรีดูความเหมาะสมและจัดวางคนที่ดีให้ทำงานเถอะ ภาพข่าวที่ออกมามันบั่นทอนความเชื่อมั่นทุกวัน ประเทศจะเดินต่อไปยาก  #ทำเพื่อชาติสักครั้งเถอะ

 

รัฐบาลใหม่หลังอาเซียนซัมมิท

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า แม้มีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีคณะรัฐมนตรี หรือแม้มีแล้วแต่ยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาก็ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ จึงคาดว่ารัฐบาลใหม่จะบริหารประเทศได้หลังการประชุมอาเซียนซัมมิทซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คว่า ครม. ใหม่น่าจะได้ปลายเดือนมิถุนายน และเมื่อยังไม่ถวายสัตย์ฯ คสช. ก็ยังมีอำนาจเต็ม มีมาตรา 44 รักษาความสงบบ้านเมืองได้ ดังนั้น อย่าตื่นเต้นตกใจหรือเบื่อหน่ายเรื่องข่าวการตั้งรัฐบาล หนังเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ

 

รัฐบาลไม่เห็นหัวประชาชน

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์เฟซบุ๊ค (10 มิถุนายน) ว่า ผ่านมา 78 วันหลังการเลือกตั้ง ยังจัดตั้งรัฐบาลจาก 19 พรรคการเมืองไม่ได้ ซึ่งมีอุดมการณ์และนโยบายหลากหลาย แต่สิ่งเดียวที่ยึดโยงไว้คือผลประโยชน์ส่วนตัว การแบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรีที่ไม่ลงตัวตั้งแต่วันแรกหลังโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเป็นตัวอย่างที่ดีว่าการทำงานของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร

การยอมตระบัดสัตย์ของนักการเมืองเพราะผลประโยชน์ ลาภยศชื่อเสียง หลายกลุ่มไส้แห้งจึงพร้อมทำทุกอย่างเพื่อได้ร่วมรัฐบาล แม้แต่เป็นนั่งร้านให้เผด็จการ บางคนกลัวการข่มขู่คดีความเก่า จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับประเทศไทย เพราะประชาชนหวังว่าชีวิตจะดีขึ้นหลังรอการเลือกตั้งมาถึง 5 ปี กลับได้รัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพและยึดโยงกันด้วยผลประโยชน์ อย่างดีก็อาจเห็นแค่นโยบายอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้าเรียกความนิยม ขณะที่การปฏิรูปที่สำคัญและจำเป็นต่อการปลดปล่อยศักยภาพของประเทศจะไม่เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลที่ตั้งขึ้นเพื่อการสืบทอดอำนาจย่อมไร้เจตจำนงทางการเมืองที่จะทำสิ่งเหล่านั้น

นายธนาธรยังระบุว่า เผด็จการสืบทอดอำนาจได้เพราะมีนักการเมืองบางกลุ่มนำเสียงของประชาชนไปเป็นเครื่องมือต่อรองอำนาจและเก้าอี้ให้ตัวเอง ซึ่งเวลาจะพิสูจน์ว่ารัฐบาลสืบทอดอำนาจที่ไม่เห็นหัวประชาชนย่อมไม่มีความยั่งยืนและไม่มีอนาคต

 

ประชาธิปไตยจอมปลอม

สำนักข่าวบีบีซีไทยรายงานว่า บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา แนะรัฐบาลสหรัฐยังไม่ควรฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทยอย่างเต็มรูปแบบ แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะเปลี่ยนสถานะจากผู้นำรัฐประหารเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ยังเป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ไม่คู่ควรกับความช่วยเหลือจากสหรัฐ เพราะการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมอย่างน่ารังเกียจ ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทหารบางส่วนถูกห้ามไม่ให้ลงเลือกตั้ง และหลายคนถูกตั้งข้อหาอาญา ขณะที่ระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนและสูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของ กกต. ทำให้พรรคฝ่ายต่อต้าน คสช. สูญเสียเสียงข้างมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

นอกจากนี้รัฐธรรมนูญสร้างความได้เปรียบอย่างมากให้กับกองทัพ ขณะที่ ส.ว. 250 คนที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช. ก็มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ ส.ส. 500 คน ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ประชาชนจะไม่ชื่นชอบก็ตาม และความอ่อนแอของรัฐบาลก็จะทำให้กองทัพมีอำนาจมากขึ้น

ขณะที่นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องชี้แจงวอชิงตันโพสต์ เพราะเป็นเพียงความเห็น

 

ติดหล่มเผด็จการ

นายสุนัย ผาสุก ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวกับนายจอห์น วิญญู ถึงผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล คสช. ภาค 2 ว่า เป็นความหดหู่จากติดหล่มเผด็จการแล้วไปไหนไม่ได้ เพราะสิ่งที่ คสช. ทำเอาไว้มันยังมีผลตามรัฐธรรมนูญต่อไป ถ้าไม่มีการออกกฎหมายมาแก้ อำนาจนี้ก็ยังอยู่ เพราะคำสั่งและประกาศ คสช. แปลงสภาพไปเป็นกฎหมาย การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่เพียงสืบทอดอำนาจ คสช. แต่สืบทอดเครื่องมือในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย

พรรคการเมืองในสภาไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านจึงต้องมีฉันทามติร่วมกันเป็นวาระเร่งด่วนยกเลิกคำสั่งที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งหลายภายใน 3 เดือนแรก มีที่ไหนในโลกที่เอาพลเรือนไปขึ้นศาลทหาร ทั้งที่เผด็จการทหารประกาศวาระสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขณะที่การเคลื่อนไหวขององค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและนานาชาติก็ถูกเพิกเฉย จึงอยู่ที่ประชาชนไทยต้องบอกว่าเราไม่ทนอีกต่อไปกับอำนาจเผด็จการ เราไม่ทนกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นและยังเอาผิดใครไม่ได้อีกด้วย

 

เผด็จการประชาธิปไตย

การเมืองไทยภายใต้การสืบทอดอำนาจสอดคล้องกับวาทกรรมของนายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา ที่บอกว่านิยม “เผด็จการประชาธิปไตย” มากกว่า “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ซึ่ง 250 ส.ว. ที่มาจากการแต่งตั้งของหัวหน้า คสช. และโหวตเลือกหัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรี สะท้อนชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนขึ้นเพื่อการสืบทอดอำนาจภายใต้ระบบรัฐสภาที่เป็น “เผด็จการประชาธิปไตย”

อย่างที่ ศ.ดร.โสรัจจ์ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค (8 มิถุนายน) ว่า “มีรัฐธรรมนูญแล้ว มี ส.ส. แล้ว มีโหวตนายกฯแล้ว แต่บรรยากาศ ความรู้สึกของผู้คน เหมือนยังอยู่กับเผด็จการเดิมไม่มีเปลี่ยน”

 

แก้รัฐธรรมนูญผ่าทางตัน

การปลดล็อก “ระบอบ คสช.” มีวิธีเดียวคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นไปไม่ได้เลยหากกลุ่มผู้มีอำนาจไม่เห็นด้วย เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำได้เมื่อ ส.ส. และ ส.ว. มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเห็นชอบแล้ว ในจำนวนนี้ยังต้องเป็น ส.ส. จากพรรคการเมืองที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองรวมกัน และยังต้องให้ ส.ว. เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 จาก 250 ส.ว. หรือ 86 เสียงขึ้นไป

แม้เงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นหนึ่งในข้อตกลงที่พรรคประชาธิปัตย์ตกลงกับพรรคพลังประชารัฐ ก็ต้องดูว่ามีการแถลงในนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ แล้วยังต้องดูว่ามีการกำหนดเวลาชัดเจนหรือไม่

ส่วนนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ประกาศเตรียมเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 เพื่อไม่ให้ ส.ว. โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และมาตรา 279 ลบล้างนิรโทษกรรมการกระทำต่างๆของ คสช. รวมถึงการออกประกาศและคำสั่งต่างๆของ คสช. นั้น ยอมรับว่าอาศัยเสียงในสภาอย่างเดียวไม่พอ ต้องใช้ฉันทามติร่วมกันของประชาชน พรรคการเมือง และนักการเมือง มากดดันทุกกลไกทุกช่องทางทั้งในและนอกสภา รวมถึงเดินสายรณรงค์ทำความเข้าใจกับประชาชนจนสร้างฉันทามติร่วมกันให้ได้ว่าสังคมเห็นต้องตรงกันว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 คือระเบิดเวลา จำเป็นต้องช่วยกันถอดสลัก

นายปิยบุตรยังให้เหตุผลผ่านเฟซบุ๊คว่า การยกเลิกมาตรา 272 และมาตรา 279 คือวิธีการที่ยิงตรงเป้าที่สุดในการเปิดพื้นที่ในสภาเพื่อนำเสียงประชาชนเข้าไปอยู่ในกระบวนการใช้อำนาจรัฐอย่างเป็นทางการ สร้างฉันทามติให้มีการทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยผ่านโครงการ “สภาร่างรัฐธรรมนูญประชาชน”

 

ช่อนี้..กลิ่นแรง

การปลดล็อก “ระบอบ คสช.” เปรียบเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ตราบใดที่ พล.อ.ประยุทธ์ยังเป็นนายกรัฐมนตรีและกองทัพยังให้การสนับสนุน ขณะที่การปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังฝ่ายต่อต้านการสืบทอดอำนาจก็ส่งสัญญาณว่าจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพุ่งเป้าไปที่พรรคอนาคตใหม่เหมือนครั้งทำลายพรรคไทยรักไทยและอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ซึ่งผ่านมากว่า 10 ปี “ผีทักษิณ” ก็ยังถูกขุดมาใช้ทำลายฝ่ายที่ต่อต้านรัฐประหาร

อย่างกรณี “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ครั้งรับปริญญาที่จุฬาฯปี 2553 และมีการชูภาพเบื้องสูง มีการสร้างกระแสกล่าวหา “ไม่จงรักภักดี” ในโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ โดยเฉพาะ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ก็ถือโอกาสโพสต์เฟซบุ๊คโจมตีทันทีว่า “#อีช่อหนักแผ่นดิน” และยังเรียกร้องให้ดำเนินคดีมาตรา 112 กับผู้ที่อยู่ในภาพทั้งหมด รวมถึงนายธนาธรที่ลงนามรับรอง น.ส.พรรณิการ์ในการสมัครเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ

น.ส.พรรณิการ์ชี้แจงว่า เป็นการประชดล้อเลียนกระแสความเกลียดชังจากการล่าแม่มดของนิสิตนักศึกษาจำนวนมาก แต่ก็ยอมรับว่าภาพดูไม่เหมาะสม ขออภัยอย่างสูงต่อประชาชนที่เห็นภาพนี้แล้วเกิดความไม่สบายใจ แต่ขอร้องอย่านำประเด็นสถาบันพระมหากษัตริย์มาโจมตีกันทางการเมือง

ขณะที่มีการปลุกระดมความเกลียดชังและดึงสถาบันเบื้องสูงมาทำลายฝ่ายตรงข้าม ทำให้แฮชแท็ก “#savepanika” ขึ้นอันดับ 1 ในทวิตเตอร์ไทยช่วงหนึ่งเช่นกัน เพราะโลกออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่นำสถาบันเบื้องสูงมาโจมตีกันทางการเมือง

ส่วนแฮชแท็ก “#อีเอ๋หนักแผ่นดิน” เมื่อเวลา 19.42 น. วันที่ 10 มิถุนายน เทรนด์ทวิตเตอร์ก็ขึ้นมาครองอันดับที่ 1 แทน “#savepanika” โดยมีผู้ใช้ทวิตเตอร์นำแฮซแท็กดังกล่าวติดท้ายข้อความมากกว่า 100,000 ครั้ง

 

ตำรวจเด้งรับสอบ “ช่อและพวก”

พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ได้สั่งการไปยัง 3 หน่วยงานให้ตรวจสอบกรณี น.ส.พรรณิการ์และเพื่อนใน 3 ประเด็นคือ

1.ให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ตรวจสอบเฟชบุ๊ค อินสตาแกรม ของ น.ส.พรรณิการ์ว่าเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ 2.ให้กองกฎหมายและคดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบว่าเข้าข่ายมีความผิดอาญาหรือไม่ และ 3.ให้ พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ดำเนินการตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือไม่อย่างไร

 

ยิ่งขับไล่คนเห็นต่างก็ยิ่งมากขึ้น

นายไพศาล พืชมงคล กรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ให้ความเห็นกรณี น.ส.พรรณิการ์ผ่านเฟซบุ๊ค Paisal Puechmongkol ว่า “ออกมาอีกคนแล้ว บอกว่าเป็นนักกลอน ออกมาโพสต์ขับไล่คนเห็นต่างไปอยู่ต่างประเทศ ยิ่งระดมกันออกมาขับไล่คนเห็นต่างมากขึ้นเท่าใด ก็จะมีคนถูกขับไล่ไปอยู่ต่างประเทศมากขึ้นเท่านั้น สักวันหนึ่งก็จะรู้กันว่าระหว่างคนขับไล่คนอื่นกับคนถูกขับไล่ ฝ่ายไหนจะมีคนมากกว่ากัน ผมก็พร่ำเตือนอยู่อย่างนี้แหละครับ แต่ก็น่ายินดีครับว่ามีคนจำนวนมากเริ่มตระหนักถึงอันตรายของการกระทำเยี่ยงนี้ พี่น้องที่ทำงานด้านความมั่นคงของชาติต้องหาทางช่วยกันระงับยับยั้งเรื่องนี้ได้แล้ว”

นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีสำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ให้ความเห็นว่า “ตอนเราเด็กเราก็คิดอย่างเด็ก พอเราโตเราคิดอย่างผู้ใหญ่ ทำไมต้องถอยหลังไปเล่นงานตอนเขาเป็นเด็กเมื่อ 9 ปีที่แล้วเพื่ออะไร?”

นอกจากนี้ยังกล่าวถึง “หลักอินทภาษ” ที่นักกฎหมายที่ดีพึงยึดถือปฏิบัติ มิใช่หาเรื่องคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์บอกว่าการเป็นตุลาการที่ดี (หรือการตัดสินใครก็ตาม) จะต้องไม่มีอคติ 4 ประการ และต้องตัดสินความตามพระธรรมศาสตร์โดยครองธรรมอันเป็น “จัตุรัส” คือเป็นรูปสี่เหลี่ยม ไม่พลิกไปพลิกมา ใครก็ตามถ้าตัดสินความโดยมีอคติก็จะทำให้ชีวิตเสื่อมถอยประดุจพระจันทร์ข้างแรม

อคติ 4 ประการคือ 1.ฉันทาคติ “รัก” เพราะเป็นลูก เป็นเมีย เป็นญาติ 2.โทสาคติ “โกรธ” เพราะเป็นคู่อาฆาต คู่ศัตรู เคียดแค้นแล้วจ้องจับผิดเพื่อเล่นงานกัน 3.ภยาคติ “กลัว” เพราะโจทก์เป็นผู้มีอำนาจ ถ้าไม่ตัดสินลงโทษจำเลยตามที่เขาสั่งก็กลัวว่าเขาจะไม่ชอบ และ 4.โมหาคติ “หลง” คือ “ความไม่รู้จริง” อาจทำให้ตัดสินผิดๆได้

 

อย่าตกเป็นเหยื่อความเกลียดชัง

นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ค (10 มิถุนายน) ถึงกระแสการโจมตีทางการเมืองที่ร้อนแรงและดุเดือดว่า ขณะนี้มีการจัดตั้งกลุ่มนักรบไซเบอร์ออกโจมตีบุคคลที่เห็นแตกต่าง หรือวิจารณ์รัฐบาลด้วยถ้อยคำที่ยั่วยุ ดูถูก ทำให้เกลียดชัง กล่าวหา ทำลายความน่าเชื่อถือของคนแสดงความเห็นที่บริสุทธิ์ใจ หวังจะลดความน่าเชื่อถือของผู้ให้ความเห็นแตกต่าง ข่มขู่ผู้อ่านผู้ติดตามไม่ให้แสดงความเห็น หวังสยบความคิดความเห็นที่แตกต่าง การกระทำดังกล่าวต้องระมัดระวัง ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลในระยะยาว เพราะเป็นการผลักมิตรไปเป็นศัตรูกับรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้อ่านข้อคิดความเห็นของตนก็ต้องระมัดระวังอย่าตกเป็นเหยื่อทั้งเห็นตามนักรบไซเบอร์เหล่านี้ หรือเกิดความรู้สึกเกลียดชังเป็นศัตรูกับรัฐบาล ต้องใช้สติปัญญากรองความเห็นเพื่อประโยชน์ของประเทศในระยะยาว

 

#RIPTHAILAND

สถานการณ์ทางการเมืองที่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อถูกมองว่าจะอยู่ได้ไม่นาน แม้จะมีเสียงจาก 250 ส.ว. สนับสนุน แต่การพิจารณากฎหมายในสภาผู้แทนราษฎร การตั้งกระทู้และญัตติต่างๆ เป็นเรื่องของ ส.ส. ดังนั้น ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลจึงแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เลย

ขณะที่รัฐบาลที่มีเสียงปริ่มน้ำก็เห็นชัดเจนแล้วว่าไม่มีเสถียรภาพ เพราะแม้แต่การจัดตั้งรัฐบาลก็มีการต่อรองและแย่งชิงตำแหน่งกันอย่างไม่ละอาย ปัญหาก๊วนก๊กต่างๆในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นคลื่นใต้น้ำตลอดอายุรัฐบาล ยิ่งรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องของประชาชนได้ กระแสต่อต้านรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ก็จะรุนแรงมากยิ่งขึ้น

เหมือนวาทกรรมของนายธนาธรที่เปรียบเทียบการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่าเป็นการปล้นโดย “สภา 500” ที่เปรียบเหมือน “โจร 500” ซึ่งจะติดตัวรัฐบาลชุดนี้ไปตลอด พร้อมการตรวจสอบอย่างเข้มข้นทั้งฝ่ายค้านและภาคประชาชน เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้

แม้แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ที่สมาชิกพรรคลาออกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่พรรคภูมิใจไทยมีการทวีต “#RIPTHAILAND” จากผู้ใช้เฟซบุ๊ค Jetsada Sawikan จนได้รับความนิยมอย่างมากในโพสต์ โดยระบุว่า “ผมคนบุรีรัมย์ ถ้าผมอยากได้ประยุทธ์เป็นนายกฯ ผมคงเลือกพลังประชารัฐ พรรคนี้มันลงทุกเขต จะเลือกภูมิใจไทยทำไม ถ้ารู้ว่าพลิกลิ้นแบบนี้คงไม่เลือกตั้งแต่ต้น ผิดหวังนะ #ผิดหวังกับภูมิใจไทย #RIPTHAILAND”

ทำให้นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โพสต์ข้อความ “#SAVETHAILAND” ผ่านเฟซบุ๊คแฟนเพจ “ลุงเนวิน” ถามว่า “ประเทศไทยทำอะไรผิด?” เพราะตกใจที่คนไทยจำนวนมากชื่นชอบและกดไลค์ให้ #RIPTHAILAND จนเป็นคำฮิตติดอันดับโลก

นายเนวินยังบอกว่า จะโกรธ จะเกลียด จะสาปแช่งผมหรือใครที่ทำให้ท่านไม่พอใจอย่างไร หนักหนาแค่ไหน เอาให้เต็มที่ แต่ขอร้องว่าอย่าโกรธ เกลียด สาปแช่งประเทศไทย ประเทศไทยไม่ได้ทำอะไรผิด ประเทศไทยให้คนไทยทุกคนกำเนิด ให้ชีวิต ให้ความสุข ให้คุณได้มีอิสรเสรีภาพที่จะดุด่าว่ากล่าวใครในโลกโซเชียลด้วยถ้อยคำรุนแรงได้มากมายกว่าหลายประเทศในโลกนี้ ด่าคน ด่าใคร ทำให้เต็มที่ แต่อย่าด่าประเทศไทยให้คนต่างชาติเขามองคนไทยและหัวเราะเยาะคนไทยเลย

#RIPTHAILAND บนทวิตเตอร์ที่พุ่งเป็นอันดับ 1 ทั้งในส่วนของประเทศไทยและทั่วโลกหลัง พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหมือนการประจานประเทศไทย เหมือนการรัฐประหารที่นานาชาติไม่ยอมรับ

#RIPTHAILAND จึงไม่ใช่การแช่งประเทศไทย อย่างที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทวีตข้อความว่า “โง่จริงหรือแกล้งโง่ที่คิดว่า #RIPTHAILAND แปลว่าแช่งประเทศไทย? ประชาชนเขาเศร้าใจและเสียใจ เหมือนเสียเสาหลักหรือญาติผู้ใหญ่ จึงใช้คำนี้ #RIPThailand #น่าจะเมากัญชา”

#RIPTHAILAND สะท้อนให้เห็นว่าประชาธิปไตยที่แท้จริง ประชาธิปไตยที่มาจากประชาชนและเป็นของประชาชนได้ตายไปแล้วใน “ประเทศกูมี” และต้องทนอยู่กับ “ระบอบ คสช.” ภายใต้ “เผด็จการประชาธิปไตย” ไปอีกนาน ตราบใดที่รัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากประชาชนอย่างแท้จริงยังไม่ได้รับการแก้ไข!!??


You must be logged in to post a comment Login