- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 6 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ตีกันให้ตายไปข้าง
คอลัมน์ : ร้ายสาระ
ผู้เขียน : ศิลป์ อิศเรศ
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 14-21 มิถุนายน 2562 )
คนยุโรปยุคกลางอนุญาตให้คู่สมรสที่มีปัญหาระหองระแหงแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ทำการพิสูจน์ว่าใครถูกใครผิดด้วยการต่อสู้กัน คนที่ชนะจะเป็นฝ่ายถูก ส่วนคนที่แพ้เป็นฝ่ายผิด
การใช้เวทีประลองเพื่อตัดสินข้อขัดแย้งมีใช้กันมานานในหลายประเทศ แต่ละประเทศมีกฎระเบียบการประลองแตกต่างกันไป แต่ผลการตัดสินจะเหมือนกันทุกที่คือผู้ชนะเป็นฝ่ายถูก แรกเริ่มเดิมทีนั้นการใช้สนามประลองตัดสินคดีจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มนักรบ เรียกว่าการต่อสู้เพื่อเกียรติยศ
เมื่อถึงยุคกลางหรือช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 5-15 หลายประเทศในยุโรปอนุญาตให้คู่กรณีซึ่งจะเป็นใครกับใครก็ได้ที่มีปัญหากันสามารถใช้เวทีประลองตัดสินปัญหาต่อหน้าชุมชน เรียกว่าการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม บางครั้งคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้รับอนุญาตให้เตรียมตัวล่วงหน้า 1-2 เดือน
ต่อมาได้มีการขยายขอบเขตการตัดสินปัญหาด้วยการประลองใช้กับคู่สมรสที่ปัญหาภายในครอบครัวแต่ไม่สามารถตกลงกันได้ แน่นอนว่าฝ่ายสามีมีพละกำลังมากกว่าย่อมได้เปรียบฝ่ายภรรยา ดังนั้น จึงมีการตั้งเงื่อนไขเพื่อให้การต่อสู้สูสีกันหน่อย
แฮนดิแคป
กฎข้อแรกของการต่อสู้คือ คู่ต่อสู้ต้องสวมชุดรัดรูปและมีหมวกคลุมศีรษะ ฝ่ายหญิงมีผ้ายาว 18 นิ้วมัดก้อนหินหนัก 3 ปอนด์ที่ปลายผ้าเป็นอาวุธ ส่วนฝ่ายชายใช้กระบองไม้เป็นอาวุธมีความยาวไม่เกิน 18 นิ้ว ฝ่ายหญิงสามารถเคลื่อนที่ได้อิสระรอบเวทีประลอง แต่ฝ่ายชายต้องอยู่เฉพาะในหลุมกลางเวทีลึกถึงเอว โผล่ขึ้นมาแค่ครึ่งตัว อีกทั้งมือข้างหนึ่งถูกมัดติดกับลำตัว ใช้มือที่ถือกระบองได้เพียงข้างเดียวเท่านั้น
การต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยามีปรากฏอยู่ในบันทึกเมื่อปี 1200 ที่เมืองเบล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และในปี 1228 ที่เมืองเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยภรรยาเป็นผู้ชนะการประลอง
เยอรมันเป็นประเทศที่มีการต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยามากที่สุด มีกฎการต่อสู้ที่แตกต่างออกไปบ้างเล็กน้อย โดยฝ่ายชายจะได้รับกระบองไม้ 3 อันเป็นอาวุธ ฝ่ายหญิงได้รับผ้ามัดก้อนหินน้ำหนัก 1-5 ปอนด์ที่ปลายผ้าจำนวน 3 อันเช่นเดียวกัน
ฝ่ายชายต้องอยู่ในหลุมกลางเวทีประลอง โผล่ขึ้นมาแค่ครึ่งตัว มือทั้งสองข้างเป็นอิสระแต่ห้ามใช้มือหรือท่อนแขนเกาะปากหลุมโดยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจะถูกยึดไม้กระบองทีละอัน ฝ่ายหญิงสามารถเคลื่อนไหวไปได้รอบเวทีประลอง ถ้าหากเห็นฝ่ายชายใช้มือหรือท่อนแขนเกาะปากหลุมห้ามเข้าไปโจมตี หากฝ่าฝืนจะถูกยึดผ้ามัดก้อนหินที่ใช้เป็นอาวุธทีละอันเช่นเดียวกัน
การต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยาในตอนต้นของยุคกลางมีบทลงโทษผู้แพ้ค่อนข้างรุนแรง หากฝ่ายชายแพ้จะถูกประหารชีวิต ถ้าหากฝ่ายหญิงแพ้จะถูกนำไปฝังทั้งเป็น แต่ต่อมาได้มีการแก้ไขบทลงโทษให้เบาลง
ความเห็นผู้เชี่ยวชาญ
จากตำราสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 14 เขียนโดยเพาลุส กัล นายทหารองครักษ์ของดยุกแห่งบาวาเรีย บรรยายการต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยาเอาไว้ว่า ฝ่ายหญิงสวมชุดบางๆ ใช้ผ้ามัดก้อนหินหนัก 3 ปอนด์เป็นอาวุธ ตรงเข้าทำร้ายสามีที่อยู่ในหลุมโผล่มาแค่ครึ่งท่อนบน โดยแขนข้างหนึ่งถูกมัดติดกับเอว มือข้างที่เป็นอิสระถือกระบองไม้เป็นอาวุธ
ฝ่ายหญิงใช้ก้อนหินตีที่ศีรษะสามี ขณะที่ฝ่ายชายยกกระบองไม้ขึ้นมาปกป้องเพื่อให้ชายผ้าพันกับไม้กระบอง จากนั้นฝ่ายชายทิ้งกระบองลงบนพื้น ใช้มือรวบแขนเสื้อฝ่ายหญิงพยายามทำให้ฝ่ายหญิงเสียการทรงตัวล้มลงแล้วบีบคอเธอด้วยแขนเพียงข้างเดียว ขณะที่ฝ่ายหญิงได้เปรียบตรงที่เธอยังมีแขนที่เป็นอิสระอีกข้างซึ่งสามารถรัดคอสามีได้ เพาลุสยังบรรยายอีกว่า การต่อสู้แต่ละครั้งใช้อาวุธที่แตกต่างกัน บางครั้งก็ใช้มีดสั้น ดาบ ทวน พลั่ว ถุงทราย และก้อนหิน
คริสต์ศตวรรษที่ 15 ฮานส์ ทัลฮอฟเฟอร์ ปรมาจารย์การต่อสู้ด้วยดาบ บรรยายการต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยาว่า ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสพลาดพลั้งได้เท่าๆกัน ข้อที่แตกต่างกับตำราของเพาลุสคือชุดที่สวมใส่จะเป็นชุดรัดรูปและสวมหมวกคลุมศีรษะทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ฮานส์มีความเห็นว่าฝ่ายหญิงมีโอกาสชนะน้อยมาก เขาอธิบายว่า หากฝ่ายชายสามารถรวบแขนฝ่ายหญิงหรือชายผ้ามัดก้อนหินได้ เขาจะฉวยโอกาสที่มีพละกำลังมากกว่ากระชากผ้ามัดก้อนหินที่ฝ่ายหญิงใช้เป็นอาวุธให้หลุดจากมือ หรืออาจดึงฝ่ายหญิงให้หัวทิ่มลงไปในหลุมได้
ศาสตราจารย์อัลลิสัน เคาเดิร์ต จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ทำการค้นคว้าพบว่าไม่มีบันทึกการต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยาหลังปี 1200 บันทึกล่าสุดที่พบคือบันทึกการต่อสู้ในเมืองเบล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ส่วนบันทึกของเพาลุสและฮานส์น่าจะเป็นการเขียนขึ้นจากการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เชื่อว่าไม่น่าจะมีการต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยาหลังจากปี 1400 ก็เพราะว่าสมัยนั้นเกิดจารีตประเพณีกำหนดให้ผู้หญิงเชื่อฟังสามี อีกทั้งหลายประเทศในยุโรปมีกฎหมายห้ามไม่ให้สามียินยอมให้ภรรยาทุบตีตนเอง อย่างไรก็ตาม ตำราของเพาลุสและฮานส์ยังคงถูกนำมาใช้ศึกษาอ้างอิงถึงการตัดสินปัญหาในครอบครัวด้วยวิธีให้คู่สมรสต่อสู้กัน
1.การต่อสู้เพื่อเกียรติยศระหว่างนักรบ
2.การต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยา โดยเพาลุส กัล
3.ฝ่ายชายยกกระบองป้องกันศีรษะ
4.ฝ่ายชายรวบแขนฝ่ายหญิงพยายามทำให้เสียการทรงตัว
5.การต่อสู้ระหว่างสามีและภรรยา โดยฮานส์ ทัลฮอฟเฟอร์
6.ฝ่ายชายกระชากแขนภรรยาให้ล้มลง
7.ภรรยาเงื้อมือจะตีสามี แต่ฝ่ายชายใช้กระบองตีสวนไปที่หว่างขา
8.ภรรยาใช้ท่อนแขนรัดคอสามี ขณะเดียวกันใช้เข่าดัดหลังหวังให้คอหัก
9.ภรรยาใช้หินฟาดที่ศีรษะสามี ขณะที่สามีใช้กระบองตีภรรยา
10.ภรรยาดึงตัวสามีจากด้านหลังและพยายามรัดคอสามี
11.สามีดึงตัวภรรยาหัวทิ่มลงหลุม
You must be logged in to post a comment Login