- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 20 hours ago
- อย่าไปอินPosted 4 days ago
- ปีดับคนดังPosted 5 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 6 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 1 week ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 1 week ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 2 weeks ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
KTISมั่นใจรายได้”เอทานอล”โตต่อเนื่องชี้ธุรกิจชีวภาพอนาคตสดใสตามเทรนด์โลก
นายพิพัฒน์ สุทธิวิเศษศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท เคทิส ไบโอเอทานอล จำกัด บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเอทานอลในกลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า ปีนี้ความต้องการใช้เอทานอลในประเทศอยู่ในระดับสูงกว่าปีก่อนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณการจำหน่ายเอทานอลของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของงบการเงินปี 2562 (ตุลาคม 2561 – มีนาคม 2562) เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 34% ดังนั้น ถึงแม้ราคาขายจะลดลง แต่รายได้จากการขายเอทานอลก็ยังเพิ่มขึ้นถึง 21.4% ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รายได้ของสายธุรกิจชีวภาพของกลุ่ม KTIS มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายธุรกิจน้ำตาล
“คาดว่าจนถึงสิ้นงวดบัญชีปี 2562 (30 กันยายน 2562) จะมีปริมาณการจำหน่ายเอทานอลสูงกว่า 75 ล้านลิตร ซึ่งนับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับกำลังการผลิต 230,000 ลิตรต่อวัน เพราะโรงงานของเราได้รับการยอมรับจากลูกค้าที่เป็นบริษัทปิโตรเลียมรายใหญ่ของประเทศในเรื่องการส่งมอบสินค้าได้ครบถ้วนตามเวลาที่กำหนด ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ดังนั้น ไม่ว่าจะผลิตได้เท่าไรเราก็สามารถขายได้ทั้งหมด” นายพิพัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ ในรอบ 6 เดือนแรกของปีบัญชี กลุ่ม KTIS จำหน่ายเอทานอลไปแล้วประมาณ 40.2 ล้านลิตร มีรายได้ประมาณ 895 ล้านบาท ซึ่งปริมาณการจำหน่ายที่สูงด้วยการใช้กำลังการผลิตอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเนื่องจากการบริหารวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้โมลาสส่วนใหญ่จากโรงงานน้ำตาลเกษตรไทยที่มีกำลังการผลิตต่อวันสูงที่สุดในโลก จึงมีโมลาสเพียงพอที่จะป้อนเข้าสู่โรงงานได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท เคทิส ไบโอเอทานอล จำกัด กล่าวด้วยว่า จากการเข้าร่วมงานประชุมใหญ่ระดับโลกเกี่ยวกับเศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งมีผู้ร่วมงานกว่า 700 คน จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก พบว่าต่างมีแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในทิศทางใหม่เพื่อให้หลุดพ้นจากปัญหาเดิมๆที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ยากจนถึงขั้นชะลอตัว หนึ่งในนั้นก็คือการขับเคลื่อนด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ โดยประเทศไทยมีพื้นฐานทางเกษตรกรรม จึงมีศักยภาพมากในด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ ซึ่งมีองค์ประกอบหลัก 3 ด้านคือ วัตถุดิบ กระบวนการผลิต และผลิตภัณฑ์ชีวภาพ
ในด้านของวัตถุดิบนั้น ประเทศไทยผลิตข้าวโพดและยางพาราได้ปีละประมาณ 5 ล้านตัน ปาล์มน้ำมันประมาณปีละ 15 ล้านตัน ข้าวสารและมันสำปะหลังปีละเกือบ 30 ล้านตัน และอ้อยในปีก่อนได้ผลผลิตถึง 130 ล้านตัน จึงเห็นได้ว่าไทยมีความพร้อมมากในด้านวัตถุดิบ ส่วนกระบวนการผลิตซึ่งต้องใช้องค์ความรู้ในการแปรรูปวัตถุดิบไบโอแมสเป็นผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ในปัจจุบันเชื่อว่าคนไทยมีองค์ความรู้ที่เพียงพอ หรือในบางด้านที่ยังขาดอยู่ก็สามารถหาพันธมิตรต่างชาติที่มีความชำนาญมาร่วมได้ ส่วนในด้านของผลิตภัณฑ์ชีวภาพนั้นก็มีหลายประเภท ซึ่งหาตลาดรองรับได้ไม่ยาก เพราะแนวโน้มของโลกต้องการลดการใช้วัสดุหรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม จึงต้องหันมาหาผลิตภัณฑ์ชีวภาพ
“การพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของแต่ละประเทศจะต้องหาความเหมาะสมลงตัวของแต่ละประเทศเอง ไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ที่แน่ๆคือ จะต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งในด้านนโยบายและการสนับสนุนด้านต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น ลดต้นทุนของผู้ลงทุนในอุตสาหกรรมชีวภาพ หรือส่งเสริมการสร้างบุคลากรด้านนี้ โดยบรรจุในหลักสูตรการศึกษา เป็นต้น” นายพิพัฒน์กล่าว
You must be logged in to post a comment Login