วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

นายกฯพึงเข้าใจ : คนจนเสียภาษีมากกว่าคนรวยต่างหาก

On August 1, 2019

คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  วันที่ 2 9 สิงหาคม 2562)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดในที่ประชุมสภาบอกว่าคนจนไม่ได้เสียภาษี อันนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง ไม่น่าเชื่อว่าคนระดับนายกฯจะคิดได้ผิดเพี้ยนอย่างนี้ กรณีนี้คงต้องโทษคณะทำงานของท่านที่ป้อนข้อมูลผิดๆ ซึ่งรังแต่จะสร้างความหายนะให้แก่การบริหารราชการแผ่นดิน

นายกฯบอกว่า “ภาษีมาจากไหน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสุทธิ 3.158 แสนล้านบาท ได้มาแค่ 11% มีคนเสียจริงๆแค่ 4 ล้านคนที่อยู่ในเกณฑ์เสียภาษีบุคคล กรมศุลกากรได้มา 1 แสนล้านบาท กรมสรรพสามิตได้มา 6 แสนล้านบาท รายได้อื่นๆ มูลค่าเพิ่ม ทั้งหมดนี่อะไรที่เป็นของคนจนเราไม่ได้ภาษีหรอกครับ เราได้เขาเพียงอย่างเดียวคือภาษี VAT (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) 7% ซึ่งถ้าเขาซื้อของเขาถึงเสีย ด้านการเกษตร เรื่องน้ำ เรื่องต่างๆ ไม่มีการเสียภาษีสำหรับเกษตรกร ท่านต้องดูรายได้ประเทศมาอย่างนี้” (https://bit.ly/32TjpIC)

1

ที่คิดว่าภาษีส่วนใหญ่มาจากบริษัทห้างร้านหรือประชาชนผู้เสียภาษีทางตรงนั้น เป็นความเข้าใจผิด จากยอดรายได้ของประเทศไทยทั้งหมดประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ภาษีนิติบุคคลเก็บได้เพียง 25% ของภาษีทั้งหมด ส่วนภาษีบุคคลธรรมดามีเพียง 12% เท่านั้น รายได้อันดับหนึ่งของประเทศมาจากภาษีทางอ้อมอีก 61% โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 30%

ภาษีที่ได้ส่วนมากมาจากบริษัทห้างร้านที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของไทยอยู่ในกรุงเทพมหานครถึงเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เสียภาษี คนไทยจำนวนมากเสียภาษีทางอ้อม เช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีปิโตรเลียม ภาษีสรรพสามิต ฯลฯ ดังนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ทั่วประเทศซึ่งไม่ใช่คนร่ำรวยแต่เป็นคนธรรมดาจำนวนหลายสิบล้านคนจึงเสียภาษีมากกว่าบุคคลธรรมดาที่ร่ำรวย

อันที่จริงนิติบุคคลต่างๆ (ยกเว้นบริษัทมหาชนซึ่งมีไม่กี่ร้อยแห่ง) มักเลี่ยงภาษีในรูปแบบต่างๆ หรือเสียภาษีให้น้อยที่สุด แม้แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แท็กซี่ ยังอาจเสียภาษีมากกว่าคนรวย เพราะพวกเขาต้องเสียภาษีล้อเลื่อน (จักรยานยนต์ รถยนต์รายปี) ส่วนคนร่ำรวยมีที่ดินอยู่จำนวนมหาศาล มูลค่านับร้อยนับพันนับหมื่นล้านบาท แทบไม่เคยเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างหรือภาษีมรดกอะไรเลย

ที่เราเห็นเศรษฐีใจบุญบริจาคเงินมากมายนั้น แท้จริงเป็นแค่กระผีกริ้น คนรวยโดยเฉพาะที่รวยล้นฟ้านั้นเอาเปรียบคนจนทั้งสิ้น เพราะไม่ได้เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั่นเอง ในสังคมมีการดราม่าว่าคนจนก็จนอยู่แล้ว อย่าเก็บภาษีเลย แต่หากสังคมได้ทราบความจริงว่า หากมีการเก็บภาษีนี้เราคงมีเงินจ้างเวรยามมาดูแลสังคม ทางเท้า ฯลฯ ให้สังคมผาสุกมากขึ้น คุ้มกว่าที่เสียภาษีไปมากมาย สาเหตุที่มีการดราม่ายกเว้นภาษีแก่คนจนก็เพื่อจะได้ยกเว้นแก่คนรวยๆด้วยนั่นเอง ยกเว้นไปๆมาๆก็เลยไม่ได้เก็บภาษี ก็เลยคิดแต่จะขึ้นภาษี VAT เป็น 8% เพราะภาษีนี้คนทุกคนโดนหมด โดยเฉพาะคนจนๆอยู่ในป่าเขาออกมาซื้อมาม่าซองหนึ่งก็โดนแล้ว

ภาษี 1% สำหรับคนจนนั้น ในแง่หนึ่งถือว่าถูกมาก คนจนมีจักรยานยนต์เก่าๆสักคันขี่มารับจ้างตามปากซอย คันละ 30,000 บาท ก็ต้องเสียภาษีปีละมากกว่า 300 บาท หรือเกิน 1% แล้ว แต่สำหรับคนรวยนั้น 1% เขาไม่อยากจะเสีย เช่น ถ้ามีที่ดินตารางวาละ 2.25 ล้านบาท สัก 1,000 ตารางวา ก็เป็นเงิน 2,250 ล้านบาท หากต้องเสีย 1% ก็เท่ากับ 22.5 ล้านบาทต่อปีเข้าไปแล้ว พวกคนรวยๆเขาเสียดายเงิน กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจึงไม่ผ่านสภาเสียที แม้สภาของคณะรัฐประหารนี้ก็เป็นของคนรวยเช่นกัน ดังภาษิตกฎหมายที่ว่า “ชนชั้นใดออกกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น”

หากเศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดิน 1,000 ตารางวาๆละ 2.25 ล้านบาท แล้วต้องเสียภาษีปีละ 1% ก็เท่ากับเสียภาษี 22.5 ล้านบาท จากมูลค่าทรัพย์ 2,250 ล้านบาท เรามาลองดูกันว่าเศรษฐีที่มีทรัพย์นับพันๆล้านแบบนี้เคยบริจาคเงินเพื่อส่วนรวมปีละ 22.5 ล้านบาทเลยหรือ อย่างมากก็คงบริจาคแค่กระผีกริ้น แล้วถ่ายรูป เอาโล่กันไป ได้ทั้งกล่อง ประหยัดเงินอีกต่างหาก ด้วยเหตุนี้สังคมไทยจึงมีความเหลื่อมล้ำอย่างสูงมาก แต่ยังดีที่เมืองไทยมีศาสนายึดเหนี่ยว หรืออีกนัยหนึ่งมีการนำศาสนาที่ดีงามมาใช้เบื่อเมาให้คน “ปล่อยวาง” จึงไม่เอาเรื่องเอาราวกัน ปล่อยให้มีการเอาเปรียบคนที่จนกว่าอยู่ร่ำไป

เมื่อพิเคราะห์ถึงการเสียภาษีของประชาชนทั่วไป จึงเกิดคำถามว่าใครกันแน่ที่เสียสละเพื่อชาติ คนร่ำรวยล้นฟ้ามีโอกาสเลี่ยงภาษีมากมาย ส่วนประชาชนทั่วไปในฐานะผู้บริโภคกลับหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ผลิตต่างก็โยนภาระภาษีให้กับประชาชนทั้งสิ้น แล้วจะบอกว่าประชาชนไม่เสียภาษีได้อย่างไร เพราะข้าราชการไม่รู้ความจริงข้อนี้ จึงคิดว่าประชาชนคนเล็กคนน้อยเป็นภาระ ทั้งที่พวกเขานี่แหละคือผู้เสียภาษี (ทางอ้อม) บำรุงข้าราชการ ข้าราชการจึงควร “รับใช้ประชาชน” ไม่ทรยศหักหลังประชาชนแล้วจัดสรรทรัพยากรมาเสพสุขกันเอง


You must be logged in to post a comment Login