- อย่าไปอินPosted 1 day ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
“พ่อแม่ห้ามด่าลูก : หลวงพ่อสอนตามคำศาสดาไหม” โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย
พอดีมีเพื่อนในเฟซบุ๊คลงรูปหลวงพ่อท่านสอนว่า “พ่อแม่ห้ามด่าลูก” อ่านดูหะแรกก็ดูดี แต่คิดไปคิดมาไม่แน่ใจ เลยขออนุญาตมาวิสัชนากันสักหน่อยเพื่อทำนุบำรุงอย่างจริงจังต่อศาสนาพุทธ
หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ เจ้าอาวาสวัดสังฆทาน จ.นนทบุรี พระนักเผยแผ่ด้านวิปัสสนากรรมฐานชื่อดัง ผู้ก่อตั้งสถานีวิทยุ “สังฆทานธรรม” ซึ่งละสังขารด้วยโรคไตเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2555 (https://bit.ly/331d0uP) ท่านเคยสอนไว้ว่า “ปากพ่อแม่เนี่ยศักดิ์สิทธิ์ ชมลูกให้ดีก็ดีตามปาก ด่าลูกให้ไม่ดีก็ไม่ดีตามปาก ฉะนั้นเป็นพ่อแม่คน “ห้ามแช่งลูก” ห้ามด่าลูกหยาบๆคายๆ ต้องด่าลูกให้เจริญ ต้องชมลูกให้เจริญ” (https://bit.ly/2Ki5LXc)
ความข้างต้นดูดีที่สอนให้ชมลูก ไม่ด่าลูกหยาบคาย เป็นไปทางการ “คิดบวก” ในระดับหนึ่ง แต่ก็ให้สงสัยว่าจริงหรือ คนเราจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับการด่าว่าสาปแช่งของคนอื่นจริงหรือไม่ พอดีมีกระทู้ใน pantip ถกเรื่องนี้โดยยกพระไตรปิฎกมาถกด้วย จึงทราบความจริงว่าตรรกะดังกล่าวที่แม้จะหวังดีให้คนประพฤติชอบ แต่ไม่เป็นจริง (https://bit.ly/331lj9Y) ลองมาดูในคำถกกัน
ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ภูมกสูตร กล่าวว่า “[๖๐๐] ดูกรนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษในโลกนี้เว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไปจงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเมื่อตายไปพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุการณ์สวดวิงวอน สรรเสริญ หรือเพราะเหตุการณ์ประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือฯ คา. ไม่ใช่อย่างนั้นพระเจ้าข้าฯ” (https://bit.ly/2Znsnf2)
ในพระไตรปิฎกฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ยังกล่าวถึงเหตุให้สมปรารถนา (ที่ไม่ใช่จากการสรรเสริญหรือสาปแช่ง) ว่า “[๓๑๙] พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เธอมีความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ เราเมื่อตายไปแล้วพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งกษัตริย์มหาศาลเถิด ดังนี้ก็มี เธอจึงตั้งจิตนั้น อธิษฐานจิตนั้น เจริญจิตนั้น ความปรารถนาและวิหารธรรมเหล่านั้น อันเธอเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความสำเร็จในภาวะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้มรรค นี้ปฏิปทา เป็นไปเพื่อความสำเร็จในความเป็นสหายแห่งกษัตริย์มหาศาลฯ” (https://bit.ly/2YtxclN)
ที่อธิบายไว้ข้างต้นนี้ไม่ได้มุ่งดิสเครดิตพระสงฆ์รูปใดที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แต่เป็นกรณีศึกษาที่ชี้ว่าผู้ที่ถือตนเป็นสาวกควรศึกษาพระธรรมของศาสดาให้ดี และเผยแผ่ให้ตรงตามคำสอน ไม่ใช่สอนตามความเชื่อส่วนตัว หรือประดิดประดอยคำพูดให้ดูดี แล้วเปลี่ยนคำสอนของศาสดาไปเสีย การกระทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้ชาวพุทธ “ตาสว่าง” หรือมีความรอบรู้ แต่ยึดติดในความหลง ผิดคำสอนของศาสนา ไม่เป็นการจรรโลงศาสนาแต่อย่างใด
ชาวพุทธพึงศึกษาคำสอนของพระศาสดาซึ่งมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุผลเชื่อถือได้ ไม่ใช่ฟังแต่คำสอนของพระสงฆ์รูปใด อย่าให้พระสงฆ์บังพระธรรม ซึ่งพระศาสดาให้ถือธรรมเป็นศาสดาแทนพระองค์หลังปรินิพพาน
You must be logged in to post a comment Login