- อย่าไปอินPosted 3 days ago
- ปีดับคนดังPosted 3 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 5 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 6 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 7 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ลิ้นหัวใจ‘เอออร์ติก’เสื่อมเปลี่ยนได้ด้วยเทคนิคสายสวนTAVI
คอลัมน์ : โลกสุขภาพ
ผู้เขียน : นพ.ระพินทร์ กุกเรยา โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 16-23 สิงหาคม 2562)
โรคลิ้นหัวใจเสื่อมถือเป็นโรคที่หลายคนได้ยินมากขึ้นในยุคปัจจุบัน ลิ้นหัวใจของมนุษย์มีทั้งหมด 4 ลิ้น อยู่ในตำแหน่งต่างกัน มีหน้าที่หลักคือ ทำให้เลือดไหลไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ไหลย้อนทาง มีหน้าที่เสมือนประตูในหัวใจ ลิ้นหัวใจเอออร์ติกนับว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากมีตำแหน่งกั้นอยู่ระหว่างหัวใจห้องซ้ายล่างและหลอดเลือดแดงใหญ่ หากลิ้นหัวใจเกิดปัญหาทำงานผิดปกติขึ้นมา หัวใจของเราก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ร้ายที่สุดอาจถึงขั้นหัวใจวายได้
ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจเสื่อมเพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่ลิ้นหัวใจใช้มานานมากก็ย่อมมีความเสื่อมตามวัย หรือในบางรายลิ้นหัวใจอาจถูกเร่งให้เสื่อมจากโรคเรื้อรังต่างๆ อาทิ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ เมื่อลิ้นหัวใจมีความเสื่อมก็จะมีไขมัน หินปูน หรือแคลเซียมมาเกาะ ทำให้ลิ้นหัวใจแข็ง ไม่ยืดหยุ่น เปิดปิดได้ไม่เต็มที่ บางคนมีแคลเซียมเข้าไปเกาะบริเวณที่เป็นแฉกลิ้น ทำให้เปิดไม่ได้ เมื่อเปิดไม่ได้เลือดก็ไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้เต็มที่
อาการแสดงที่ส่งสัญญาณถึงความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่เปิดหรือปิดไม่สนิท เกิดภาวะลิ้นหัวใจตีบ ที่เห็นได้ชัดคือ เหนื่อยง่าย หน้ามืด เป็นลมบ่อยๆ เจ็บหน้าอก อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เมื่อลิ้นหัวใจเริ่มแข็งตัวเพิ่มขึ้น หัวใจก็จะทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือด ผนังหัวใจจะหนา หากปล่อยทิ้งไว้ ไม่ได้รับการรักษา จะนำไปสู่ภาวะหัวใจวายได้ โดยเฉลี่ยประมาณ 3% ของคนไข้ที่มีอายุ 80 ปี จะเริ่มมีลิ้นหัวใจผิดปกติทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ตามสถิติผู้ชายมักจะเป็นมากกว่า คือประมาณ 60% ขณะที่ผู้หญิงอยู่ที่ประมาณ 40% ซึ่งภาวะเสื่อมของลิ้นหัวใจที่ถือว่าอันตรายมากคือ ลิ้นหัวใจเอออร์ติก เป็นลิ้นหัวใจที่กั้นระหว่างหัวใจช่องล่างซ้ายกับหลอดเลือดแดงใหญ่ ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย หากมีภาวะเสื่อมหรือเปิดปิดไม่ได้ เลือดก็จะไปเลี้ยงทั้งร่างกายไม่ได้
ภาวะลิ้นหัวใจเสื่อมไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา เพราะปัญหาคือลิ้นหัวใจตีบ การรักษาคือต้องทำให้ลิ้นหัวใจหายตีบ สมัยก่อนจะใช้วิธีผ่าตัดแบบเปิดหน้าอกเพื่อเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียมเข้าไป ซึ่งลิ้นหัวใจเทียมมีทั้งชนิดที่ทำจากเนื้อเยื่อและทำจากโลหะ ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน ลิ้นหัวใจที่ทำจากโลหะสามารถอยู่ได้นาน แต่ผู้ป่วยต้องกินยาละลายลิ่มเลือด ส่วนลิ้นหัวใจที่ทำจากเนื้อเยื่อไม่ต้องใช้ยาละลายลิ่มเลือด แต่อายุการใช้งานอาจไม่เท่าลิ้นที่ทำจากโลหะ ซึ่งสมัยก่อนไม่ว่าจะเปลี่ยนลิ้นหัวใจแบบไหนก็ต้องทำโดยวิธีการผ่าตัดเท่านั้น แต่ในปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้ามากขึ้น ขณะเดียวกันโลกก็กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ การผ่าตัดแบบเปิดหน้าอกอาจจะไม่เหมาะกับคนที่อายุมากๆ เนื่องจากสภาพร่างกายไม่แข็งแรงพอ คนไข้จะฟื้นตัวช้า
ทั้งนี้ ในปี ค.ศ. 1985 ศ.นพ. Alan Cribier ของฝรั่งเศส ได้ทดลองวิธีการนำลิ้นหัวใจใส่สายสวนเพื่อเข้าไปเปลี่ยนลิ้นหัวใจแทนการผ่าตัด โดยเรียกเทคนิคนี้ว่า TAVI (Transcatheter Aortic Valve Implantation) เป็นการเปลี่ยนลิ้นหัวใจด้วยสายสวนโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ซึ่งเหมาะกับคนไข้ที่มีปัญหาในเรื่องของลิ้นหัวใจเอออร์ติก (Aortic Valve) ข้อดีของการใช้เทคนิค TAVI นี้ก็เพื่อซ่อมหรือเปลี่ยนลิ้นหัวใจด้วยสายสวนโดยไม่ต้องผ่าตัด คนไข้เสียเลือดน้อย ลดความเสี่ยงจากการดมยาโดยไม่จำเป็น และไม่ต้องใช้ปอดกับหัวใจเทียมเหมือนการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจแบบเปิดหน้าอก คนไข้สามารถฟื้นตัวจากการผ่าตัดได้รวดเร็ว เพียง 2-3 วันก็สามารถกลับบ้านได้ ขณะที่คนไข้ผ่าตัดแบบเปิดหน้าอกต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเป็นระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน
หลักการของ TAVI จะเป็นการใช้ลิ้นหัวใจแบบเนื้อเยื่อยึดติดอยู่กับขดลวดพิเศษ ซึ่งสามารถม้วนให้เล็กเพื่อเข้าไปอยู่ในท่อเล็กประมาณ 8-10 มิลลิเมตรของระบบนำส่ง จากนั้นก็สอดระบบนำส่งไปตามหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบไปที่ยอดของหัวใจห้องล่างซ้ายจนถึงตำแหน่งของลิ้นหัวใจเอออร์ติก จากนั้นจึงทำการปล่อยตัวลิ้นหัวใจที่ม้วนอยู่ออกมาจากระบบนำส่ง ซึ่งจะทำให้ลิ้นหัวใจกางออกกลายเป็นลิ้นหัวใจใหม่ โดยที่คนไข้จะมีแผลเล็กๆบริเวณขาหนีบ หรือบริเวณหน้าอกด้านซ้าย หรือด้านบนของหน้าอกข้างขวา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ใส่ขดลวดพิเศษ
การพัฒนาเทคนิค TAVI เริ่มจากการทำกับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงจากการผ่าตัดจนไม่มีทางยอมรับได้ เมื่อทำต่อมาเรื่อยๆและมีการติดตามอาการผู้ป่วย พบว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดี จากลิ้นหัวใจที่เคยอยู่ได้ 2-3 ปี กลายเป็น 5 ปี ทำให้ปัจจุบันเทคนิค TAVI กลายเป็นการรักษาทางเลือกของผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจตีบ ไม่ใช่เฉพาะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงหรือปานกลางเท่านั้น สำหรับการใส่ขดลวดพิเศษสามารถใส่ได้หลายทาง ทั้งทางขาหนีบ ไหล่ เส้นเลือดใหญ่ที่ต้นแขน ทางขวาของหน้าอกผ่านเส้นเลือดใหญ่ที่ออกมาจากหัวใจ และทางแผลเล็กบริเวณยอดหัวใจ แต่ส่วนใหญ่ 80% จะใส่จากทางขาหนีบเพราะเส้นเลือดมีขนาดใหญ่ ยกเว้นเส้นเลือดที่ขาหนีบของคนไข้มีขนาดเล็กหรือเส้นเลือดอุดตันเข้าไม่ได้ถึงจะไปทำที่ตำแหน่งอื่นแทน การเปลี่ยนลิ้นหัวใจโดยใช้สายสวนนี้ใช้เวลาทำ 2 ชั่วโมงโดยประมาณ
ข้อควรระวังในการทำคือ กลุ่มคนไข้ติดเชื้อหรือมีแบคทีเรียอยู่ในกระแสเลือด คนไข้ที่หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน คนไข้ที่มีลิ่มเลือดอยู่ในหัวใจ คนไข้ที่หัวใจเต้นผิดจังหวะเร็วมากๆ คนไข้ที่เพิ่งเป็นอัมพาตใหม่ๆ (เพราะต้องให้ยาละลายลิ่มเลือด) คนไข้ที่หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบและมีอาการ เมื่อผ่าตัดเสร็จช่วง 3 เดือนแรก อาจต้องกินยาละลายลิ่มเลือด ไม่ออกกำลังกายหรือทำอะไรหักโหม หลังพักฟื้น 3 เดือน คนไข้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ช่วยให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
You must be logged in to post a comment Login