- อย่าไปอินPosted 18 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล แนะใช้สื่อออนไลน์อย่างรู้เท่าทัน ครอบครัวอบอุ่นเกิดจากใช้เวลาร่วมกันให้มากพอในพื้นที่จริง
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับทุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ให้ดำเนินโครงการยุวชนนิเวศน์ของประชากรเจเนอเรชัน ซี-อัลฟ่า (Child Ecology of Thai Z-Alpha) ซึ่งเป็นประชากรเจเนอเรชันล่าสุดของสังคมไทยที่จะเติบโตเป็นผู้ขับเคลื่อนสังคมไทยในอนาคต (เกิดระหว่าง พ.ศ.2547-2566) โดยมุ่งประเด็นการศึกษาไปที่ความเชื่อมโยงของอิทธิพลจาก 3 พื้นที่ที่แวดล้อม และส่งผลต่อพฤติกรรมและทัศนคติของยุวชนในเจเนอเรชันนี้ ซึ่งได้แก่ บ้าน โรงเรียน และพื้นที่อื่นๆ นอกเหนือจากบ้านและโรงเรียน ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ออฟไลน์ และออนไลน์ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ประชากรเจเนอเรชัน ซี-อัลฟาของประเทศไทยในบริบทต่างๆ และนำเสนอแนวทางในการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีเป็นมิตรต่อการเติบโตและงอกงามของประชากรรุ่น ซี-อัลฟ่า ให้มีศักยภาพในการดูแล และทำนุบำรุงสังคมไทยต่อไปในอนาคต โดยการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กอายุ 3-14 ปี จำนวน 1,500 คน ผู้ปกครอง จำนวน 1,500 คน และครู จำนวน 1,500 คน ใน 5 พื้นที่ คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์โดยทีมนักประชากร นักสังคมวิทยา นักมานุษยวิทยา และนักจิตวิทยา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวในฐานะหัวหน้าโครงการฯ ว่า “ส่วนหนึ่งที่เราพูดคุยเพื่อตั้งคำถามศึกษากับเด็กกลุ่มนี้ คือ เวลาที่เด็กใช้โซเชียลมีเดียสื่อสารกับคนในครอบครัวมีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งพบว่าครอบครัวในสังคมไทยในปัจจุบัน คนในครอบครัวมีการพูดคุยกันในพื้นที่เสมือนมากขึ้น เนื่องจากอยู่กันแบบกระจัดกระจายกันมากขึ้น อยู่ห่างไกลกันมากขึ้น และใช้เวลาอยู่ร่วมกันน้อยลง เนื่องจากหลายสาเหตุ ทั้งจากการย้ายถิ่น จากครอบครัวขยายที่อยู่กันแบบปู่ย่าตายายพ่อแม่ลูกในหนึ่งบ้าน หรือรวมกันสามเจเนอเรชัน อาจเหลือแต่พ่อแม่ลูก ในขณะที่พ่อแม่ลูกบางบ้านก็อาจจะเหลือแต่พ่อกับลูก หรือแม่กับลูก อย่างนี้เป็นต้น รวมทั้งการที่สมาชิกในครัวเรือนใช้เวลาเดินทางในท้องถนนนานขึ้นเนื่องจากสภาพการจราจรและความเป็นเมือง ซึ่งจากการที่สังคมมีพัฒนาการมากขึ้น ทำให้ครอบครัวจำเป็นต้องใช้พื้นที่เสมือนในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารผ่าน LINE หรือผ่าน Facebook โดยเราพยายามที่จะตีแผ่ความสัมพันธ์ของครอบครัวที่พูดคุยผ่านโซเชียลมีเดียว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งจากการศึกษาพบว่ามีช่องว่างการสื่อสารระหว่างเจเนอเรชันที่อยู่ในพื้นที่เสมือนนี้”
“เราพบว่าในครอบครัวในพื้นที่เสมือนสามารถมีครัวเรือนในลักษณะต่างๆ ทั้ง “ครัวเรือนขยาย” หรืออยู่ด้วยกันสามเจเนอเรชัน ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลูก ทั้ง “ครัวเรือนเดี่ยว” ที่มีเพียงหนึ่งหรือสองเจเนอเรชัน และ “ครัวเรือนข้ามรุ่น” ซึ่งมีปู่ย่าตายายอยู่ด้วยกันกับหลานแต่พ่อแม่ไม่อยู่ เป็นครัวเรือนในลักษณะหลากหลายแต่เกิดขึ้นได้พร้อมกัน นอกจากนี้พบว่าการใช้โซเชียลมีเดียส่งผลต่อการทักษะในการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับคนอื่นๆ โดยในกลุ่มครอบครัวที่มีสามเจเนอเรชัน ผู้ใหญ่รุ่นปู่ย่าตายายอาจรู้สึกไม่ชินกับภาษาที่เด็กสื่อสารในโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นคำห้วนๆ หรือคำแผลงต่างๆ ที่ผู้ใหญ่บางคนอาจไม่ชอบ ในขณะที่เจเนอเรชันพ่อแม่จะคอยเป็นตัวประสานความเข้าใจของเจเนอเรชันปู่ย่าตายายกับเจเนอเรชันลูก โดยเราพยายามที่จะบอกว่าโซเชียลมีเดียที่ใช้กับครอบครัวนั้นมีข้อดีคืออะไร ข้อไม่ดีคืออะไร ซึ่งการโซเชียลมีเดียจริงๆ แล้วถ้าใช้ให้เกิดประโยชน์สามารถช่วยได้ในเรื่องการบริหารจัดการภายในครัวเรือน (Household Management) เช่น การไปโรงเรียนของลูก การจัดการเรื่องอาหาร การนัดพบเพื่อทำกิจกรรมของครอบครัวผ่านโซเชียลมีเดีย ฯลฯ โดยสามารถเยียวยาความเปราะบางของครอบครัวที่ต้องอยู่ห่างไกลกันได้ แต่ทดแทนการเป็นอยู่แบบได้เห็นหน้ากันได้สัมผัสกันไม่ได้ ซึ่งเป็นจุดที่เป็นข้อควรระวัง หากเรารู้เท่าทันจะทำให้เราใช้สื่อสร้างสรรค์สังคมได้อย่างเป็นประโยชน์มากที่สุด”
“ส่วนหนึ่งจากงานวิจัยพบว่า ถ้าบรรยากาศในครอบครัวในพื้นที่จริงดี บรรยากาศในโซเชียลมีเดียก็จะดีไปด้วย โดยเป็นผลที่ตามมาจากความอบอุ่นที่เกิดจากการสัมผัสในพื้นที่จริง แต่ถ้าเกิดในพื้นที่จริงความสัมพันธ์ไม่ค่อยดี จะทำให้ความสัมพันธ์ในโซเชียลมีเดียไม่ดีไปด้วย และแม้ความรักความผูกพันยังมี แต่ด้วยความห่างไกล ทำให้โอกาสในการช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างทันท่วงทีลดลงตามไปด้วย ซึ่งโดยสรุปเป็นการยืนยันว่าความอบอุ่นที่แท้จริงเกิดขึ้นนอกพื้นที่เสมือน เพราะฉะนั้นควรจะต้องมีการใช้เวลาร่วมกันระหว่างครอบครัว (family time) ที่มากเพียงพอ” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูเบศร์ สมุทรจักร กล่าวสรุปทิ้งท้าย
You must be logged in to post a comment Login