วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

เกษตรเผยแทรนด์ขมิ้นชันอุตสาหกรรมยา-เครื่องสำอางค์มาแรง เร่งวิจัยขมิ้นชันคุณภาพพันธุ์ปลอดโรครองรับความต้องการตลาด

On September 3, 2019

นายสนอง  จรินทร   ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพืชสวน   กรมวิชาการเกษตร  กล่าวว่า    ปัจจุบันขมิ้นชันเป็นพืชสมุนไพรเศรษฐกิจที่กำลังเป็นที่ต้องการของสูงของอุตสาหกรรมยาแผนโบราณ-ยาแผนปัจจุบัน    อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง  อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มและอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโดยในปี 2560  ตลาดอุตสาหกรรมสารสกัดขมิ้นชันมีมูลค่ารวม 49  ล้านบาท   ในขณะที่ปริมาณผลผลิตหัวสดซึ่งยังผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการของอุตสาหกรรมขมิ้นชันในประเทศ  โดยที่ผ่านมาสถาบันวิจัยพืชสวนได้รับการติดต่อจากองค์การเภสัชกรรมเพื่อขอซื้อพันธุ์ขมิ้นชันคุณภาพปลอดโรคเพื่อนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรในเครือข่ายปลูกเชิงการค้า   เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตให้เพียงพอกับอุตสาหกรรมขมิ้นชันหลายแขนงที่กำลังขยายการเติบโต   ซึ่งในเบื้องต้นองค์การฯมีความต้องการใช้ขมิ้นชันตากแห้ง ประมาณปีละ 90 ตัน ปัจจุบันได้มีการนำสารเคอร์คูมินอยด์ที่สกัดจากขมิ้นขึ้นทะเบียนเป็นยาพัฒนาจากสมุนไพรแผนปัจจุบันรายการแรกของประเทศไทยสำหรับใช้บรรเทาอาการปวดในโรคข้อเข่าเสื่อมและใน เพื่อนำมาผลิต ผลิตภัณฑ์แคปซูลสารสกัดขมิ้นชันทดแทนยาแผนปัจจุบัน    สำหรับสรรพคุณของขมิ้นชันมีสารออกฤทธิ์ที่มีประโยชน์ 2 กลุ่มคือ กลุ่มน้ำมันระเหย (Volatile  oil)และกลุ่มสารสีเหลือส้มหรือที่เรียกว่าสารเคอร์คิวมินอยด์ (curcuminoid)

2

ทั้งนี้   เพื่อเป็นการรองรับการขยายการเติบโตของตลาดขมิ้นชัน   กรมวิชาการเกษตรกำลังเร่งวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตหัวพันธุ์ขมิ้นชันปลอดโรคระบบวัสดุปลูก(Substrate  Culture) หรือการปลูกที่ใช้วัสดุอื่นที่ไม่ใช่ดินในขมิ้นชัน 2 สายพันธุ์  คือสายพันธุ์ตรัง1และสายพันธุ์ตรัง 84-2  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาโรคระบาดและการปนเปื้อนจากสารเคมีตกค้างในดินที่อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตและสารเคมีตกค้างในผลผลิตขมิ้นชันซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้นกว่าการปลูกในดิน    ส่วนการขยายพันธุ์ได้ใช้เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแทนการใช้หัวและแง่ง     เพื่อเพิ่มปริมาณต้นพันธุ์ได้มากขึ้นสามารถรองรับความต้องการเกษตรกรที่จะนำขมิ้นชันพันธุ์นี้ไปปลูกเชิงการค้าในอนาคตโดยการวิจัยดังกล่าวดำเนินการในศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย  โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2560และจะแล้วเสร็จในปี 2564นี้และหากสำเร็จก็พร้อมแจกจ่ายขมิ้นชันสายพันธุ์ปลอดโรคไปยังกลุ่มเกษตรกรต่างๆต่อไป

​อย่างไรก็ตาม  สำหรับสาเหตุที่เลือกสายพันธุ์ตรัง1และสายพันธุ์ตรัง 84-2  เนื่องจากเห็นว่าเป็นสายพันธุ์ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด    เนื่องจากให้สารเคอร์คูมินอยด์และน้ำมันหอมระเหยในปริมาณที่สูงกว่ามาตรฐานยาสมุนไพรไทย    สำหรับขมิ้นชันสายพันธุ์ตรัง 84-2 ให้ผลผลิตหัวสด 2.59 ตัน/ไร่  ให้สารเคอร์คูมินอยด์ เฉลี่ย 11.04 เปอร์เซ็นต์สูงกว่ามาตรฐานยาสมุนไพรไทย 120.80 เปอร์เซ็นต์   ให้น้ำมันหอมระเหย เฉลี่ย 7.78 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่ามาตรฐานยาสมุนไพรไทย 29.67 เปอร์เซ็นต์       ส่วนขมิ้นชันสายพันธุ์ตรัง-1 ให้ผลผลิตหัวสด 2.23 ตัน/ไร่ให้สารสำคัญเคอร์คูมินอยด์เฉลี่ย 10.62 เปอร์เซ็นต์สูงกว่ามาตรฐานยาสมุนไพรไทย 112.4 เปอร์เซ็นต์ แลให้น้ำมันหอมระเหยเฉลี่ย 7.99 เปอร์เซ็นต์สูงกว่ามาตรสมุนไพรไทย 33.17 เปอร์เซ็นต์    ในขณะที่ได้มีการกำหนดมาตรฐานยาสมุนไพรของจะต้องมีสารกลุ่มเคอร์คิวมินอยด์ไม่น้อยกว่า 5% และมีน้ำมันหอมระเหยไม่น้อยกว่า 6%      สำหรับสถานการณ์ผลิตในปี 2559  ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกประมาณ 4,000ไร่   จำนวนเกษตรกรผู้ปลูก 1,000 ครัวเรือน  ให้ผลผลิตเฉลี่ย 1,500 กก./ไร่  ให้ผลผลิตรวมทั่วประเทศ 3,500 ตัน  แบ่งเป็นวัตถุดิบใช้ในประเทศ 98%และส่งออกเพียงแค่ 2% ในรูปแบบน้ำมันขมิ้นชันไปยังสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น  โดยข้อได้เปรียบทางการตลาดคือขมิ้นชันไทยมีคุณภาพและคุณสมบัติที่ดีกว่าประเทศอื่น โดยจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกมากที่สุด 3 จังหวัด กาญจนบุรี สุราษฎร์ธานีและลำปาง

3

สำหรับสารเคอร์คิวมินอยด์    ถือว่าเป็นสารสำคัญหลักในขมิ้นชันที่มีฤทธ์ที่เป็นประโยชน์มากมายและเป็นที่ต้องการของเภสัชกรรม   อาทิ   มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ  ป้องกันโรคอัลไซเมอร์   ลดการอักเสบในผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อม   ลดคอเลสเตอรอลในเลือด   ป้องกันตับจากสารพิษและลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง   รักษาแผลในกระเพาะอาหารทำช่วยบำรุงผิวพรรณและชะลอความแก่  เป็นต้นในขณะที่ทางประเทศมีการพัฒนาขมิ้นชันเพื่อช่วยรักษาโรคมะเร็ง   ในขณะกลุ่มน้ำมันระเหยจะถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง   นอกจากนี้รัฐบาลกำลังผลักดันให้ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรระดับชาติเหมือนกับโสมเกาหลีโดยส่งเสริมให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางมากขึ้น  เมื่อนักท่องเที่ยวมาเมืองไทยจะซื้อผลิตภัณฑ์ขมิ้นชันกลับไป

4

“จากกระแสความต้องการของตลาดสมุนไพรีที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน    กรมวิชาการเกษตรได้ให้ความสำคัญในการพัฒนางานวิจัย และการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรของไทยอย่างต่อเนื่อง    เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสมุนไพรไทย และทดแทนการนำเข้ายาแผนปัจจุบันจากต่างประเทศ และการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง เพื่อเพิ่มมูลค่าและผลักดันให้ขมิ้นชันเป็นสินค้าส่งออกของประเทศไทย ในอนาคตด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าสู่มาตรฐานGAPและอินทรีย์ในทุกพื้นที่ที่เป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ   ตลอดจนเร่งกระจายขมิ้นชันพันธุ์ปลอดโรคระบบวัสดุปลูกหรือไม่ใช้ดินให้กว้างขวางมากขึ้น  รวมทั้งเร่งวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเนื้อเยื่อเพื่อให้ได้ปริมาณต้นพันธุ์คุณภาพมากขึ้น   ทั้งนี้   เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขมิ้นชันและเป็นทางเลือกให้เกษตรกรนำไปปลูกเพื่อการค้าป้อนตลาดทั้งในและต่างประเทศในอนาคต ” นายสนอง   กล่าว

ด้านนางสาวชิญญา   ศรีสุข   นักวิชาการเกษตรชำนาญการ   ศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย   ได้กล่าวเพิ่มเติม เกี่ยวกับเทคโนโลยีระบบวัสดุปลูก (Substrate   Culture)ว่ เป็นการปลูกโดยใช้วัสดุอื่นแทนการใช้ดิน   เช่น  วัสดุอนินทรีย์และวัสดุอินทรีย์ที่ราคาไม่สูง หาง่ายตามท้องถิ่นแต่ต้องมีความเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของขมิ้นชันและคุณภาพผลผลิตวัตถุดิบที่ตรงตามมาตรฐาน   เช่น   ทราย  แกลบดิบ  แกลบเผา กาบมะพร้าวสับ  ซังข้างโพดสับ  เป็นต้น แล้วนำมาปลูกในกระบะ  กระถางหรือถุงดำสำหรับปลูกที่มีขนาดใหญ่เพียงพอกับการเจริญเติบโตของเหง้าขมิ้นชัน การใช้วัสดุปลูกที่เหมาะสมจะส่งเสริมให้มีการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์  ผลผลิตมีคุณภาพและปลอดโรค ซึ่งแตกต่างจากการปลูกในดินมีความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาดสูง  เช่น บางโรคก็ติดมาจากท่อนพันธุ์ที่นำมาปลูก   หรือมีการตกค้างของสารเคมีในดินจนทำให้ตกค้างอยู่ในผลผลิตขมิ้นชันได้

ปัจจุบันมีสายพันธุ์ขมิ้นชันได้รับการขึ้นทะเบียนโดยกรมวิชาการเกษตรแล้วมีจำนวนแล้ว  5 สายพันธุ์ด้วยกันคือ     ขมิ้นชันทับปุก(พังงา)   ขมิ้นชันตาขุน(สุราษฏร์ธานี)   ขมิ้นชันแดงสยาม   ขมิ้นชันส้มปรารถนา   และขมิ้นชันเหลืองนนทรี   และมีสายพันธุ์ที่ผ่านการรับรองจำนวน 2 พันธ์ด้วยกัน คือขมิ้นชันสายพันธ์ตรัง1และขมิ้นชันสายพันธุ์ตรัง 84-2


You must be logged in to post a comment Login