- แก่อย่างไม่มีคุณค่าPosted 57 mins ago
- “ทักษิณ” ยังมีมนต์ขลังPosted 1 day ago
- อย่าไปอินPosted 4 days ago
- ปีดับคนดังPosted 5 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 6 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 1 week ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 1 week ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 2 weeks ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 2 weeks ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 2 weeks ago
“ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์”เตรียมขายไอพีโอ150ล้านหุ้นรองรับแผนขยายธุรกิจ-เป็นทุนหมุนเวียน
นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุมัติแบบคำขอเสนอขายหุ้นของบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 25.00 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทภายหลัง IPO โดยคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 4/62 หรือภายในต้นปี 2563 สำหรับการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์เพื่อขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
ทั้งนี้ บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในลักษณะเครือข่ายขายตรง (Multi-level Marketing หรือ MLM) โดยบริษัทมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 225 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีบริษัทย่อยทั้งหมด 3 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ แล็บบอราทอรี่ จำกัด (SML) บริษัท ซัคเซส สปิริต จำกัด (SPT) และ SCM Spirit (Myanmar) Co., Ltd. (SPM) ดำเนินธุรกิจใน 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจแบบเครือข่าย กลุ่มธุรกิจให้บริการคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจเครือข่ายและรับจัดงานสัมมนา และกลุ่มธุรกิจโรงงานผลิตสินค้า
นพ.สิทธวีร์ เกียรติชวนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM เปิดเผยว่า บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2555 เพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งในและต่างประเทศในลักษณะเครือข่ายขายตรง แบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย
1.กลุ่มธุรกิจแบบเครือข่าย จำหน่ายสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคและบริโภคทั้งในและต่างประเทศ เป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัท จำแนกเป็น 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนตัว 4.กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าใช้ในครัวเรือน 5.กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร 6.กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งดำเนินธุรกิจโดย SCM
2.กลุ่มธุรกิจให้บริการคำปรึกษาในการดำเนินธุรกิจเครือข่ายและรับจัดงานสัมมนา ดำเนินธุรกิจโดย SPT และ SPM เพื่อสนับสนุนธุรกิจเครือข่ายในประเทศ และตัวแทนจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศที่มีเครือข่ายสมาชิกและฐานลูกค้าเป็นของตนเอง
3.กลุ่มธุรกิจโรงงานผลิตสินค้า ดำเนินธุรกิจโดย SML ปัจจุบันเป็นบริษัทย่อยที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงงานผลิตสินค้าให้กับบริษัทเท่านั้น
“จุดแข็งที่สำคัญของ SCM คือมีเครือข่ายสมาชิกเป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 2 แสนคนทั่วประเทศ และมีสาขากระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของไทย 23 แห่ง อีกทั้งยังมีตัวแทนจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศถึง 6 ประเทศ เพื่อเป็นช่องทางกระจายสินค้าในประเทศแถบเออีซี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการเติบโตเร็วมาก ก้าวสู่ 7 ปี สามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท/ปี การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะช่วยตอกย้ำแบรนด์ของเราให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค สร้างโอกาสในการเพิ่มฐานเครือข่ายสมาชิกและลูกค้า พร้อมผลักดันรายได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต”
นายนพกฤษฏิ์ นิธิเลิศวิจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCM กล่าวว่า การระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ นอกเหนือจากการได้รับเงินทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการแล้ว สิ่งที่สำคัญคือการสร้างแบรนด์ “ซัคเซสมอร์ บีอิ้งค์ ” ให้แข็งแกร่งและเป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น ควบคู่กับการสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกคนรู้ว่าบริษัทมีผลิตภัณฑ์หลากหลายกว่า 60 รายการ ที่สำคัญคือธุรกิจนี้สามารถสร้างฝันและโอกาสให้กับทุกคนได้
“บริษัทของเราก้าวสู่ปีที่ 7 ถือเป็นน้องใหม่ของวงการที่มาแรง สะท้อนถึงความเชื่อมั่น ได้รับการยอมรับจากสมาชิกและผู้บริโภค ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้ติดอยู่ในอันดับ TOP 10 ระดับ 1,000 ล้านบาท จากกว่า 400 บริษัทขายตรงในประเทศไทย เรามีศักยภาพสูงทางด้านการทำธุรกิจในรูปแบบ Multi-level Marketing ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าคุณภาพที่มีกว่า 60 รายการ และไม่ใช่แค่ตลาดในประเทศไทยเท่านั้น เรายังขยายไปยังตลาดเออีซี โดยประเทศที่ขยายไปประกอบด้วย เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย และสิงคโปร์ แต่ไม่ได้คิดจะหยุดเพียงเท่านี้ โดยบริษัทยังคงมองหาโอกาสใหม่ๆเพิ่มเติมเพื่อที่จะขยายธุรกิจออกไป และทำให้กิจการเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืนในอนาคต” นายนพกฤษฏิ์กล่าวในที่สุด
You must be logged in to post a comment Login