วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

บังคับจ่ายทานเพื่อสร้างฐานสังคม

On September 13, 2019

คอลัมน์ : สันติธรรม

ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 13-20 กันยายน 2562)

เมื่อนบีมุฮัมมัดเริ่มเผยแผ่สั่งสอนอิสลามในมักก๊ะฮฺ ท่านถูกต่อต้านอย่างหนัก จึงเดินทางไปยังเมืองฏออีฟด้วยความหวังว่าหัวใจของคนที่นั่นจะเปิดรับคำสอนของท่าน แต่ท่านต้องผิดหวัง เพราะหัวหน้าชาวเมืองที่นั่นยุให้พวกเด็กหนุ่มเอาหินไล่ขว้างท่านจนต้องหนีซมซานออกจากเมืองในสภาพเลือดโชกทั้งตัว

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ในช่วงของการทำฮัจญ์ ชาวเมืองมะดีนะฮฺที่เดินทางมาทำฮัจญ์ได้เห็นบุคลิกและได้ฟังคำสอนของท่านจนเกิดความเลื่อมใสขึ้นมา จึงได้เชิญท่านให้ไปอยู่ที่เมืองมะดีนะฮฺและสัญญากับท่านว่าจะให้ความช่วยเหลือท่านในการเผยแผ่คำสอนอิสลาม หลังจากนั้นอีกปีกว่าๆท่านจึงได้สั่งมุสลิมในมักก๊ะฮฺให้ทยอยอพยพไปยังเมืองมะดีนะฮฺ และท่านได้อพยพเป็นคนสุดท้าย

เมื่อไปถึงที่นั่นนบีมุฮัมมัดเริ่มหาทางสร้างมัสยิดขึ้นก่อนเพื่อเป็นจุดศูนย์รวมทางด้านจิตวิญญาณของผู้ศรัทธา มีคนเสนอบริจาคที่ดินให้ท่านแต่ท่านไม่รับ ท่านขอซื้อที่ดินและจ่ายเงินให้แก่สองพี่น้องผู้เป็นเจ้าของที่ดิน เพราะนบีมุฮัมมัดไม่ชอบรับของบริจาคจากใคร แม้อูฐที่ใช้ขี่อพยพออกจากเมืองซึ่งสหายสนิทของท่านเตรียมไว้ให้ ท่านก็จ่ายเงินซื้อ

เนื่องจากมุสลิมที่อพยพมายังเมืองมะดีนะฮฺมีฐานะขัดสนเพราะแอบอพยพออกมาจนต้องทิ้งทรัพย์สินไว้ที่มักก๊ะฮฺ ท่านจึงให้มุสลิมชาวเมืองมะดีนะฮฺรับมุสลิมที่อพยพไปอุปการะเพื่อให้มีงานทำและตั้งตัวได้ ส่วนกลุ่มที่ยังไม่มีผู้อุปการะและมีฐานะยากจน ท่านได้ให้ไปอาศัยอยู่ในบริเวณชานมัสยิดที่ท่านสร้างขึ้นมา คนเหล่านี้ที่อุทิศตนรับใช้ท่านนบีจึงมีโอกาสได้ยินคำสอนและเห็นจริยวัตรของท่านอย่างใกล้ชิด และเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินและเห็นมา

ในช่วงเวลาที่เริ่มตั้งรกรากถิ่นฐานในเมืองมะดีนะฮฺนี้เอง นบีมุฮัมมัดต้องรีบแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของมุสลิม นอกจากนบีมุฮัมมัดจะสั่งมุสลิมผู้มีฐานะให้อุปการะมุสลิมผู้อพยพที่ยากจนแล้ว คัมภีร์กุรอานยังได้สั่งมุสลิมผู้ศรัทธาให้ใช้จ่ายโดยไม่ขี้เหนียวด้วย โดยเฉพาะกับครอบครัว การใช้จ่ายนี้ศัพท์ในคัมภีร์กุรอานใช้คำว่า “นะฟะเก๊าะฮฺ” ซึ่งหมายถึงเงินที่ใช้เลี้ยงดูครอบครัว และถือเป็นข้อบังคับที่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องจ่าย นบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่าการจ่าย “นะฟะเก๊าะฮฺ” ได้รับผลบุญเหมือนกับการบริจาคทาน

แม้ชาวเมืองมะดีนะฮฺได้เชิญท่านให้มาเป็นผู้นำในเมืองของตน แต่ในเวลานั้นนบีมุฮัมมัดยังไม่มีรัฐบาลหรือรัฐมนตรีทำหน้าที่รับผิดชอบความเป็นอยู่ของผู้คนในเมือง แต่ท่านต้องรับผิดชอบดูแลสวัสดิภาพความเป็นอยู่ที่ดีของประชาคมมุสลิม ดังนั้น ท่านจึงใช้วิธีการให้มุสลิมทำหน้าที่สำรวจคนยากจนเพื่อให้ความช่วยเหลือกันเอง

เมื่อคัมภีร์กุรอานกำหนดบทบัญญัติเรื่องการถือศีลอดในเดือนรอมฎอนเป็นครั้งแรกในปีที่สองของการอพยพออกจากมักก๊ะฮฺ นบีมุฮัมมัดได้กำหนดให้ผู้ชาย ผู้หญิง ทาส และคนที่เป็นอิสระในสังคม มีหน้าที่ต้องจ่ายข้าวบาร์เลย์หรืออินทผลัมแห้งจำนวนประมาณ 16 กอบมือเป็น “ซะกาตฟิฏร์” ให้แก่คนยากจนก่อนสิ้นสุดเดือนรอมฎอนถ้าหากใครมีอาหารเหลือพอ และผู้เป็นพ่อต้องจ่ายซะกาตฟิฏร์แทนลูกเมียทุกคนของตนด้วย แม้ลูกของตัวเองเพิ่งเกิดในเดือนรอมฎอนก็ตาม

นบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่า การจ่ายซะกาตฟิฏร์จะช่วยลบล้างข้อผิดพลาดในระหว่างการถือศีลอด เช่น การซุบซิบนินทาคนอื่น การพูดเรื่องไร้สาระ การพูดจาหยาบคายอันเกิดจากความโมโห เป็นต้น

การจ่ายซะกาตฟิฏร์นี้ ผู้จ่ายต้องนำไปให้คนยากจน ไม่อนุญาตให้เรียกคนยากจนมารับ ทั้งนี้ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของคนยากจน และเพื่อที่คนรับซะกาตฟิฏร์จะได้รู้สึกซาบซึ้งในความโอบอ้อมอารีของผู้ให้ ขณะเดียวกันผู้จ่ายซะกาตฟิฏร์ก็ให้โดยไม่หวังการตอบแทนจากคนรับแม้กระทั่งคำขอบคุณ เพราะซะกาตฟิฏร์เป็นสิทธิที่คนยากจนต้องได้รับตามคำสั่งจากท่านนบี

ด้วยเหตุนี้ก่อนสิ้นสุดเดือนรอมฎอน คนมีกินจึงต้องไปสำรวจหาคนจนที่ตนเองจะจ่ายซะกาตฟิฏร์ให้ มาตรการนี้เองที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างคนมีกินกับคนไม่มีกินให้ใกล้ชิดกัน และกลายเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างประชาคมอิสลามขึ้นมาจนเมืองมะดีนะฮฺอยู่ในรูปของนครรัฐภายในเวลา 10 ปี

 

alfitr

 


You must be logged in to post a comment Login