- อย่าไปอินPosted 20 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
นบีมุฮัมมัดกับการปฏิรูปการค้าและการเงิน
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 20-27 กันยายน 2562)
สังคมอาหรับก่อนหน้าอิสลามเมื่อพันกว่าปีก่อนเป็นสังคมการค้าที่มีทั้งการค้าภายในและการค้าระหว่างประเทศ ในเวลานั้นการซื้อขายสินค้าใช้เหรียญทองคำที่ภาษาอาหรับเรียกว่า “ดีนาร์” และเหรียญเงินที่ภาษาอาหรับเรียกว่า “ดิรฺฮัม” เป็นสิ่งบอกมูลค่าสินค้าและสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
เงิน 2 สกุลนี้เป็นเงินที่มาจาก 2 มหาอาณาจักรคู่แข่งกันในเวลานั้น นั่นคือ อาณาจักรไบแซนตินและอาณาจักรเปอร์เซีย
เงินดีนาร์เป็นเหรียญกษาปณ์ทองคำแท้ที่ใช้ในอาณาจักรไบแซนติน นักวิชาการประวัติศาสตร์อิสลามกล่าวว่า “ดีนาร์” มาจากคำว่า “ดีนาริอุส” ในภาษากรีก ส่วนเหรียญกษาปณ์เงินที่เรียกว่า “ดิรฺฮัม” เป็นชื่อเหรียญกษาปณ์ที่มาจากอาณาจักรเปอร์เซีย
ในเวลานั้นชามเป็นหัวเมืองใหญ่ของอาณาจักรไบแซนตินที่ติดอยู่กับดินแดนด้านตะวันตกของอาณาจักรเปอร์เซีย และติดกับทางเหนือของคาบสมุทรอาหรับ ชามประกอบด้วยดินแดนที่เป็นประเทศซีเรีย จอร์แดน เลบานอน และปาเลสไตน์ในปัจจุบัน แผ่นดินชามเป็นแผ่นดินยุทธศาสตร์ที่ 2 มหาอำนาจในเวลานั้นแย่งชิงกัน และชามเป็นชุมทางการค้าที่เส้นทางสายไหมพาดผ่าน ชาวอาหรับ ชาวแอฟริกัน และชาวยุโรป จะนำสินค้าของตนไปซื้อขายกันที่นั่น ด้วยเหตุนี้ชามจึงไม่เพียงแต่เป็นแหล่งซื้อขายสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งพบปะแลกเปลี่ยนความเป็นไปของโลกในเวลานั้นด้วย
ก่อนได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสนทูตของพระเจ้าทำหน้าที่เผยแผ่อิสลาม มุฮัมมัดได้ติดตามลุงของท่านไปทำการค้าที่ชามตั้งแต่อายุ 12 ปี ดังนั้น ท่านจึงมีประสบการณ์ทางการค้ามากมายหลายด้าน เช่น การได้เห็นสินค้าใหม่ๆในตลาด รู้เห็นการเจรจาต่อรอง และรู้จักสกุลเงินที่สำคัญของโลกในเวลานั้น และเนื่องจากการซื้อขายสินค้าในเวลานั้นใช้สกุลเงินดีนาร์และดิรฺฮัม ชาวอาหรับจึงนำเหรียญดีนาร์และดิรฺฮัมมาใช้ในแผ่นดินอาหรับด้วย
ในตอนนั้นการทำธุรกรรมและการซื้อขายในแผ่นดินอาหรับมีลักษณะบางอย่างที่ผิดแผกแปลกไปจากที่อื่น เช่น การขายข้าวสาลีที่ติดอยู่กับรวงข้าวเพื่อแลกกับข้าวสาลีที่สีแล้ว การขายอินทผลัมที่ยังอยู่บนต้นเพื่อแลกกับผลอินทผลัมที่เก็บจากต้นแล้ว การซื้อขายบางอย่าง เช่นผ้า ถ้าหากผู้ซื้อแตะหรือจับผ้าก็ถือว่าได้ซื้อผ้าผืนนั้นแล้วแม้ผู้ซื้อยังไม่รู้คุณสมบัติของผ้า หรือการซื้อขายที่เกิดขึ้นจากการที่ใครคนหนึ่งโยนผ้าให้อีกคนหนึ่งก็ถือว่าคนที่รับผ้าไปได้ซื้อผ้าผืนนั้นแล้วแม้จะยังไม่ได้ตรวจสอบก็ตาม บางคนสั่งซื้อเมล็ดข้าวมาและขายให้คนอื่นไปโดยที่ตัวเองยังไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าก็มี
นอกจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนดังกล่าวแล้ว ยังมีการให้เช่าที่ดินเพาะปลูกเพื่อแลกกับผลผลิตที่จะได้จากที่ดินในส่วนที่ผู้ให้เช่าระบุไว้
เนื่องจากการซื้อขายและการทำธุรกรรมในลักษณะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม เพราะทำให้เกิดความได้เปรียบและเสียเปรียบระหว่างคู่ค้าไม่ฝ่ายหนึ่งก็ฝ่ายใด ดังนั้น เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนทูต (นบี) ของพระเจ้า นบีมุฮัมมัดจึงได้สั่งห้ามการซื้อขายและการทำธุรกรรมในลักษณะดังกล่าว
นอกจากสั่งห้ามการซื้อขายที่ไม่เป็นธรรมแล้ว นบีมุฮัมมัดยังได้มีคำสั่งห้ามการแลกเปลี่ยนที่ไม่เป็นธรรมด้วย ท่านได้กล่าวว่า “อย่าขายทองเพื่อทองเว้นเสียแต่ว่ามันจะหนักเท่ากัน และอย่าขายเงินเพื่อเงินเว้นเสียว่ามันจะหนักเท่ากัน แต่ท่านสามารถขายทองเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินหรือขายเงินเปลี่ยนเป็นทองได้ถ้าต้องการ”
คำสอนทางด้านการเงินนี้เองที่ทำให้โลกมุสลิมยุคใหม่ตระหนักว่าเงินดอลลาร์สหรัฐกำลังเป็นเศษกระดาษไร้ค่า เพราะตามข้อตกลงเบรตตันวูด ชาติต่างๆได้ตกลงกันว่าจะใช้สกุลเงินดอลลาร์ในการค้าระหว่างประเทศ และตกลงกันว่าเงินทุก 35 ดอลลาร์สหรัฐ จะมีทองคำ 1 ออนซ์หนุนหลัง แต่ต่อมาธนาคารกลางของสหรัฐได้แอบพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาเกินกว่าที่ตกลงกันไว้โดยไม่มีทองคำหนุนหลัง ทำให้ค่าของเงินดอลลาร์เสื่อมลง นักวิชาการในโลกมุสลิมจึงถือว่าดอลลาร์ที่พิมพ์ออกมาเกินกว่าที่ตกลงกันไว้คือดอกเบี้ยที่เกิดจากการแลกเปลี่ยน
นี่คือสาเหตุที่ทำให้โลกมุสลิมปัจจุบันคิดจะเลิกใช้ดอลลาร์สหรัฐและหันกลับไปใช้สกุลเงินเดิมที่เรียกว่า “ดีนาร์ทองคำ”
You must be logged in to post a comment Login