วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

“อัลไซเมอร์” รู้จักและเข้าใจกับชีวิตที่ไม่ง่ายของคนใกล้ตัว

On October 4, 2019

คอลัมน์ : โลกสุขภาพ

ผู้เขียน : ศ.นพ.กัมมันต์ พันธุมจินดา นายกสมาคมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทย

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 4-11 ตุลาคม 2562)

ปัจจุบันโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ก้าวเข้าสู่ลักษณะของสังคมดังกล่าว สังคมผู้สูงอายุจะมาพร้อมปัญหาสุขภาพด้านต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม เช่น โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น ภาวะสมองเสื่อมเป็นภาวะที่เกิดการเสื่อมของการทำงานของสมองจากสาเหตุต่างๆ โดยจะแสดงอาการในภาพรวมออกเป็น 3 ลักษณะคือ 1.มีความผิดปกติทางด้านความทรงจำและทักษะต่างๆ (Cognition) เช่น หลงลืมสิ่งที่ทำไปแล้ว ความสามารถในการประกอบกิจกรรมต่างๆลดลง สับสนในเรื่องทิศทาง วันเวลาและสถานที่ เป็นต้น 2.มีความผิดปกติทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม (Behavior) เช่น มีอารมณ์ฉุนเฉียวก้าวร้าวขึ้น ประพฤติตนในสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ เป็นต้น 3.มีความผิดปกติในการทำกิจวัตรในชีวิตประจำวัน (Activity in Daily Life) เช่น ไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆที่เคยทำได้ และในที่สุดอาจจะไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เป็นต้น

ผลจากอาการในภาพรวมดังกล่าวจะกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของทั้งตัวผู้ป่วย คนรอบข้าง และสังคม ดังนั้น การมีความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมจึงเป็นพื้นฐานสำคัญอันจะนำไปสู่การวินิจฉัย การดูแลรักษา และการเตรียมตัวแก้ปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับผู้ป่วย ญาติ และสังคมโดยรวม

โรคอัลไซเมอร์นับเป็นโรคหนึ่งในผู้สูงอายุที่โลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโรคที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมที่พบได้บ่อยที่สุด จากสถิติทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย ผู้สูงอายุตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป พบว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์ประมาณร้อยละ 3-6 และมักพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ส่วนในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่านั้นพบโรคนี้น้อย และส่วนใหญ่เกิดจากโรคทางพันธุกรรม

ในปัจจุบันแม้ว่าการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุจะมีข้อมูลใหม่ๆเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่สามารถทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรค เพียงแต่ทราบพยาธิวิทยาและการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสรีรวิทยาที่เป็นผลทำให้เกิดอาการต่างๆ และทราบปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่อาจทำให้เกิดโรคนี้ ดังนั้น ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันจึงยังไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ แต่อาจควบคุมอาการต่างๆของโรคนี้ได้ในระดับหนึ่งโดยปรับเปลี่ยนการเปลี่ยนแปลงทางพยาธิสรีรวิทยาของโรคนี้ ส่วนการป้องกันก็เช่นเดียวกันคือ ไม่สามารถป้องกันได้เด็ดขาด เพียงแต่อาจชะลอการเกิดอาการหรือลดความรุนแรงของอาการของโรคดังกล่าวโดยการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ชักนำให้เกิดอาการของโรค

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมถอยของการทำงานของสมอง ซึ่งเป็นผลจากความผิดปกติของโครงสร้างของเนื้อเยื่อสมอง ความผิดปกติดังกล่าวเกิดจากการสะสมของโปรตีนที่ผิดปกติ โปรตีนสำคัญที่ผิดปกติในโรคนี้คือ เบต้า-อะไมลอยด์ (Beta-amyloid) และทาว (Tau) เมื่อเกิดการสะสมของโปรตีนที่ผิดปกติเหล่านี้ส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อมฝ่อและเสียการทำงาน ทำให้เกิดกลุ่มอาการสมองเสื่อม

จากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทำให้สามารถตรวจวินิจฉัยโรคอัลโซเมอร์ได้ถูกต้องแม่นยำขี้น และสามารถตรวจโรคนี้ได้แม้ผู้ป่วยยังไม่มีอาการชัดเจน ระยะต่างๆของการดำเนินโรคในโรคอัลไซเมอร์แบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.ระยะก่อนมีอาการ (Preclinical stage) ในระยะนี้จะเกิดความผิดปกติของเนื้อสมองแต่ยังไม่มีอาการแสดงที่ผิดปกติ 2.ระยะที่มีอาการเพียงเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment) ในระยะนี้ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการต่างๆของกลุ่มอาการสมองเสื่อมดังกล่าวข้างต้น แต่ยังไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต 3.ระยะที่มีภาวะสมองเสื่อมชัดเจน (Dementia) ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีกลุ่มอาการสมองเสื่อมอย่างชัดเจน และมีปัญหาในการดำเนินชีวิต

ในระยะที่มีภาวะสมองเสื่อมอย่างชัดเจนนี้ อาการอาจจะมีความรุนแรงมากน้อยต่างกัน ในระยะแรกที่มีภาวะสมองเสื่อมในระดับความรุนแรงน้อย อาการอาจจะมีเพียงการเสียความทรงจำและทักษะต่างๆเล็กน้อย แต่ผู้ป่วยพอช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ในระยะที่มีความรุนแรงปานกลาง ผู้ป่วยจะมีปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมเพิ่มขึ้นจากอาการเดิม และเริ่มจะต้องมีผู้ดูแลซึ่งอาจจะเป็นญาติหรือบุคลากรอื่น ส่วนในระยะที่มีอาการรุนแรง ผู้ป่วยจะเสียความจำและทักษะต่างๆ ตลอดจนมีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์มากขึ้น และมีความผิดปกติในระบบการเคลื่อนไหว ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถช่วยตัวเองได้ จำเป็นต้องมีผู้ดูแลคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา

หลักการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย และการดำเนินโรคก็จะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายของการดูแลรักษาจึงเน้นการรักษาอาการต่างๆเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ปัญหาของผู้ป่วยที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อญาติ ผู้ดูแล และสังคมรอบข้างน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์นั้นมีทั้งแบบที่ไม่ใช้ยา (Non-pharmacological) และแบบใช้ยา (Pharmacological) การรักษาแบบไม่ใช้ยา เช่น ให้ผู้ป่วยจดบันทึกกิจวัตรต่างๆที่จำเป็นต้องทำเพื่อเตือนความจำ การจัดสภาวะแวดล้อมที่ผู้ป่วยอยู่อาศัยให้เรียบร้อย เพื่อลดการสับสน และลดอันตรายต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วย การลดสิ่งกระตุ้นที่อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรม เช่น ลดการโต้แย้งกับผู้ป่วย เป็นต้น อีกทั้งควรจัดเตรียมให้ผู้ป่วยได้บริโภคอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะการขาดสารอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สุขภาพทั่วไปดี นอกจากนี้ควรให้ผู้ป่วยมีกิจกรรมออกไปพบปะผู้คน เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง เพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสได้เข้าสังคม

สำหรับการรักษาแบบใช้ยาอาจจะช่วยในเรื่องความจำและทักษะต่างๆที่ลดลงของผู้ป่วยได้ในระดับหนึ่ง ยาในกลุ่มนี้ที่สำคัญได้แก่ ยาที่ยับยั้งเอนไซม์ (Enzyme) โคลีนเอสเตอเรส (Cholinesterase inhibitors) ซึ่งมีทั้งแบบยาเม็ด ยาน้ำ และยาแผ่นแปะ ส่วนยาอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้รักษาโรคอัลไซเมอร์ ได้แก่ ยาที่ยับยั้งตัวรับเอ็นเอ็มดีเอ (NMDA receptor antagonists) สำหรับความผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรม

นอกจากจะหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่อาจทำให้เกิดอาการดังกล่าวแล้ว ยาทั้ง 2 กลุ่มข้างต้นอาจช่วยควบคุมอาการเหล่านี้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ในบางครั้งถ้ามีอาการรุนแรงก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาทางจิตเวชเพื่อควบคุมอาการดังกล่าวร่วมด้วย การดูแลรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ นอกจากการดูแลรักษาความผิดปกติที่เกิดจากโรคนี้โดยตรงแล้ว จำเป็นจะต้องเฝ้าระวังหรือดูแลรักษาโรคอื่นๆที่อาจเกิดร่วมกับโรคอัลไซเมอร์ได้ เนื่องจากโรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุมักจะมีโรคต่างๆเกิดขึ้นตามธรรมชาติอยู่แล้ว

สำหรับผู้ดูแลผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ดังได้กล่าวข้างต้นแล้วว่าในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่มีความรุนแรงปานกลางถึงมากจำเป็นจะต้องมีผู้ดูแล ดังนั้น บุคลากรเหล่านี้จะต้องมีความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม เนื่องจากผู้ป่วยจะมีความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันลดลงเรื่อยๆ และอาจจะมีปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมร่วมด้วย จึงทำให้การดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาดังกล่าวเป็นภาระหรืองานที่หนักสำหรับผู้ดูแล อาจก่อให้เกิดความอ่อนล้า ความเครียด ความซึมเศร้า หงุดหงิด ต่อผู้ดูแล และอาจทำให้ผู้ดูแลมีปัญหาทางสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่งผลต่อการดูแลผู้ป่วยในภาพรวม ดังนั้น เพื่อให้ผู้ดูแลและผู้ป่วยมีความสุขไปด้วยกัน ผู้ดูแลควรมีแนวทางการปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์ที่เหมาะสม เช่น

1.เข้าใจโรคอัลไซเมอร์ : ควรหาความรู้และทำความเข้าใจกับโรคอัลไซเมอร์ให้ดี เพื่อจะได้มีความรู้ความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะอาการ ระยะเวลาการดำเนินโรคที่เป็นมากขึ้น วิธีการดูแลรักษา และแนวทางการรับมือกับปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อผู้ดูแลจะได้สามารถจัดการวางแผนการดูแลและแก้ปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม

2.คอยให้กำลังใจผู้ป่วย : ในระยะแรกที่ผู้ป่วยมีอาการน้อย ควรให้ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับอาการป่วยของตนเอง มีกิจวัตรประจำวันต่างๆเท่าที่ผู้ป่วยสามารถทำเองได้ เพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกด้อยค่าหรือเป็นภาระ จะทำให้ผู้ป่วยเกิดความภาคภูมิใจ รู้สึกมีคุณค่า และมีความมั่นใจมากขึ้น

3.ทำกิจกรรมที่เหมาะสม : จดรายการกิจวัตรประจำวันหรือประจำสัปดาห์เพื่อเตือนความจำ และให้ผู้ป่วยสามารถทบทวนได้ด้วยตนเอง ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สุขภาพกายดี และผู้ป่วยได้ผ่อนคลายไปในตัว ให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว พาออกไปเที่ยวนอกบ้านเป็นครั้งคราว หรือร่วมกิจกรรมกับเพื่อนฝูงหรือเข้าสังคมเท่าที่ผู้ป่วยจะทำได้

4.เข้าใจผู้ป่วย : บางครั้งผู้ป่วยอาจแสดงอารมณ์และพฤติกรรมที่ผิดปกติที่ทำให้ผู้ดูแลรู้สึกผิดหวัง เครียด วิตกกังวล หรือซึมเศร้า ผู้ดูแลต้องเข้าใจว่าอาการแสดงดังกล่าวของผู้ป่วยเป็นผลมาจากอาการของโรค ไม่ควรโกรธหรือโต้ตอบผู้ป่วยด้วยอารมณ์ เมื่อผู้ป่วยเกิดปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรมดังกล่าว ซึ่งมักเป็นปัญหาที่ยากที่สุดปัญหาหนึ่งในการดูแลผู้ป่วยโรคนี้ ผู้ดูแลพึงสังเกตปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านั้น และพยายามแก้ไขปัจจัยที่แก้ไขได้ โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาที่เกิดจากสภาวะแวดล้อมและบุคคลรอบข้างผู้ป่วยที่อาจทำให้เกิดปัญหาเหล่านั้นเป็นหลัก การที่จะแก้ปัญหาโดยให้ผู้ป่วยพยายามปรับตัวมักทำได้ยาก เนื่องจากผู้ป่วยเป็นโรคนี้จึงไม่สามารถปรับตัวได้เหมือนคนปกติ

5.ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยกับแพทย์ผู้รักษา : การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะทำให้การดูแลรักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผู้ดูแลซึ่งเป็นบุคลากรที่อยู่กับผู้ป่วยเกือบตลอดเวลาควรสังเกตอาการที่ผิดปกติของผู้ป่วย ทั้งความผิดปกติของโรคทางกายและความผิดปกติของอารมณ์และพฤติกรรม รวมทั้งบันทึกความผิดปกติเหล่านี้และแจ้งให้แพทย์ทราบเมื่อถึงเวลานัดตรวจโรค ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ช่วยแพทย์ ญาติ และผู้ดูแล ร่วมกันในการปรับการดูแลรักษาผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี

สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ การดูแลรักษาผู้ป่วยในกลุ่มนี้ หรือต้องการคำแนะนำ สามารถเข้าไปปรึกษา ขอคำแนะนำต่างๆจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาการสมองเสื่อม เช่น สมาคมโรคสมองเสื่อมแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ดูแลโรคสมองเสื่อม และมูลนิธิอัลไซเมอร์ เพื่อนำความรู้และเทคนิคใหม่ๆในการรับมือกับผู้ป่วย รวมทั้งได้เครือข่ายในการให้กำลังใจที่จะช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน


You must be logged in to post a comment Login