- อย่าไปอินPosted 2 days ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 4 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 5 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
ญี่ปุ่นบุกไทยถูกเรียก‘สัตว์เศรษฐกิจ’ แล้วจีนล่ะ
คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ
ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 18-25 ตุลาคม 2562)
ในช่วงปี 2515 ผู้เขียนจำได้ว่านายธีรยุทธ บุญมี สมัยเป็นนิสิตจุฬาฯ ได้ออกมาเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น สมัยนั้นผู้เขียนยังเป็นนักเรียนชั้น ม.ศ.1 อยู่ที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ การต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นนับเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกดี ได้ยินคุณพ่อคุณแม่คุยกันว่า ยังมีคนไทยจำนวนมากเข้าไปซื้อสินค้าญี่ปุ่นโดยไม่สนใจกลุ่มนิสิตนักศึกษาที่ยืนประท้วงอยู่หน้าห้างไทยไดมารู ถ.ราชดำริ
อันที่จริงหลังจากญี่ปุ่นฟื้นจากพิษสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็เริ่มผลิตสินค้าออกขายทั่วโลกตั้งแต่ปี 2510 คล้ายกับจีนในช่วงหลังมานี้ ผู้เขียนยังจำเพลงนี้ได้ “ดินสอดำมิตซูบิชิตราขวานทอง เหลาง่ายไม้อ่อน เด็กนักเรียน ข้าราชการ ทุกคนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง” เพลงนี้กรอกหูชาวบ้านอยู่ทุกวันในรายการวิทยุโทรทัศน์ในสมัยนั้น
ญี่ปุ่นเริ่มส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้สินค้าญี่ปุ่นจะไม่ได้มีคุณภาพสูงเท่าสินค้าจากประเทศตะวันตก แต่ก็มีราคาถูกกว่า จึงเป็นที่นิยมของคนไทยที่ยากจนในสมัยนั้น ญี่ปุ่นมาตั้งโรงงานทอผ้าและโรงงานอื่นๆอีกมากมายในประเทศไทย คนไทยกลุ่มหนึ่งก็สู้ โดยชูสินค้าไทย ผ้าฝ้ายไทย แต่โดยที่มันยับยู่ยี่และไม่คงทน แถมมีราคาแพงกว่าสินค้าญี่ปุ่น สินค้าไทยที่ไม่ปรับตัวแบบนั้นก็เลยสู้ไม่ได้
มาถึงวันนี้ผู้เขียนขออนุญาตเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ว่าอาจเป็นไปได้ที่นายธีรยุทธและพวกถูกนายทุนขุนศึกศักดินาชักจูงให้มาต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น เพราะกลุ่มทุนของตนสู้ญี่ปุ่นไม่ได้ สมัยนั้นกลุ่มทุนในประเทศยังอาจไม่ได้ประสานผลประโยชน์กับกลุ่มทุนจากต่างประเทศ (เช่น ญี่ปุ่น) ได้อย่างแนบแน่นเช่นทุกวันนี้ พันธกิจรักชาติต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นอาจเป็นแค่ละครฉากหนึ่ง แต่ก็ยังมีผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
ศักดินาไทยผู้เชี่ยวชาญการสร้างวาทกรรมขนานนามญี่ปุ่นว่าเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” คือเข้าไปรุกรานเศรษฐกิจของประเทศที่อ่อนแอกว่า และมุ่งครอบงำประเทศเหล่านั้น แต่กาลเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า ญี่ปุ่นไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ได้เอาไทยเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ แต่พฤติกรรมของจีนต่อประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆในโลกนี้ดูคล้ายกับการเป็น “สัตว์เศรษฐกิจ” เป็นอย่างยิ่ง แต่วันนี้ไร้เสียงต่อต้านจากนิสิตนักศึกษาผ่านการชักใยของกลุ่มนายทุนขุนศึกศักดินา ซึ่งคงเป็นเพราะพวกเขาได้ประสานผลประโยชน์กับจีนกันเรียบร้อยแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับเกษตรกรรมมาตั้งแต่ต้นจนถึงปี 2519 ในระหว่างปี 2519-2529 ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติใกล้เคียงกันมาก จนถึงปี 2530 ภาคอุตสาหกรรมก็มีสัดส่วนสูงกว่าภาคเกษตรกรรมอย่างเด่นชัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผลพวงทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการลงทุนของนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังข้อตกลงพลาซ่าแอคคอร์ด (https://bit.ly/2VAkWjv) เมื่อปี 2528 ทำให้โรงงานใหญ่น้อยในญี่ปุ่นพาเหรดย้ายฐานมาประเทศไทยเป็นจำนวนมาก (ตอนนั้นอินโดจีนยังไม่สงบ)
อันที่จริงเศรษฐกิจไทยที่เจริญอย่างยิ่งยวดแบบก้าวกระโดดเป็นเพราะการลงทุนของญี่ปุ่น ไม่ใช่เพราะบุคคลสำคัญที่เป็นนักการเมืองใดในประเทศไทยแม้แต่น้อย จนเมื่อพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน เป็นนายกรัฐมนตรี จึงยิ่งทำให้ประเทศชาติก้าวหน้าขึ้นไปใหญ่ ท่าทีของคนไทยต่อญี่ปุ่นจึงควรเป็นท่าทีที่ขอบคุณมากกว่าการก่นด่า ในญี่ปุ่นจะเลี่ยงสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกาด้วยการมาผลิตสินค้าส่งออกจากไทย ทำให้คนไทยมีงานทำ มีรายได้สูงขึ้นจนถึงทุกวันนี้
แต่บัดนี้ญี่ปุ่นกำลัง “ถอนสมอ” จากประเทศไทยนับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา ส่วนหนึ่งเพราะประเทศเพื่อนบ้านกลับสู่ความสงบ แต่สำหรับประเทศไทย เพื่อฆ่าหนูตัวเดียว (ทักษิณ) ถึงกับยอมเผาบ้านตัวเอง ในทางตรงกันข้าม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเมียนมา หลังยุคที่ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นกลับมีคนไปลงทุนกันมหาศาล สวนทางกับประเทศไทยที่ดู “สาละวันเตี้ยลง” แทบทุกวัน
ย้อนมาดูวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น เขาสอนให้เราสู้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ (เท่าที่ผู้เขียนเคยดูในสมัยเป็นเด็ก) เช่น ยูโดสายดำ ซันชิโร เคนโด้ ฯลฯ หรือภาพยนตร์สร้างจินตนาการ เช่น หุ่นอภินิหาร ยอดมนุษย์ ไอ้มดแดง ฯลฯ ญี่ปุ่นยังสอนให้มีระเบียบวินัย เช่น 5 ส. ที่สำคัญญี่ปุ่นยังสอนให้เข้าถึงความเรียบง่าย ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมแบบจีน เป็นต้น
ในขณะที่ญี่ปุ่นเข้ามาเปิดโรงงาน สร้างงานให้คนไทยจำนวนมาก แต่จีนกลับส่งกองทัพมนุษย์มาเปิดร้านค้า กิจการเอสเอ็มอี จนดูคล้ายจะมายึดครองประเทศไทย ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราจะไปค้าขายเปิดร้านอาหารไทยในกรุงปักกิ่งของจีนคงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก จีนมาซื้อห้องชุดเก็งกำไรกันมหาศาล แต่ญี่ปุ่นเมื่อ 30 ปีก่อนมาลงทุนสร้างอาคารชุดเป็นหลัก ญี่ปุ่นในสมัยนั้นซื้อที่ดินสร้างโรงงานกันมากมาย แต่จีนในสมัยนี้มาสร้างโรงงานสักกี่มากน้อยกัน
นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทยจำนวนมหาศาลจนราชการไทยนำไป “ปั่น” ตัวเลขรายได้เข้ารัฐกันยกใหญ่ ปรากฏว่าพวกเขามาแบบทัวร์ศูนย์เหรียญบ้าง ใช้ไกด์จีน รถจีน ร้านอาหารจีน ร้านขายของที่ระลึกจีน ฯลฯ ทุกอย่างแทบไม่ตกหล่นในประเทศไทย แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวจีนก็กำลังลดลง ในขณะที่ทัวร์ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน มีคุณภาพมากกว่า ตอนนี้พวกเขาไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านแทนที่จะมาไทย แปลกมากที่จำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลี ไต้หวัน เข้าเวียดนามมากกว่าเข้ามาในประเทศไทยเสียอีก
ทุกวันนี้จีนส่งกองทัพมนุษย์เข้าไปกว้านซื้อที่ดิน ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย แต่ในลาว กัมพูชา เวียดนาม เมียนมา ฯลฯ กันอย่างมหาศาลจนดูคล้ายกับจะไปยึดครองประเทศเหล่านั้นก็ไม่ปาน การลงทุนแบบจีนเป็นที่เข็ดขยาดในศรีลังกา กลุ่มประเทศแปซิฟิก แอฟริกา แต่จีนก็ฉลาดที่สมคบกับผู้บริหารประเทศต่างๆได้อย่างแนบแน่น จึงไร้แรงต่อต้านแบบจัดฉากเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับญี่ปุ่นในสมัยก่อน
แล้วอย่างนี้เราจะเรียกจีนยุคนี้ว่าอะไรดี
You must be logged in to post a comment Login