วันพฤหัสที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ธุรกิจเอสเอ็มอีปรับตัวอย่างไรเมื่อ AI ครองโลก

On October 30, 2019

โลกมาถึงยุคที่เรียกว่าThe 4th Industrial Revolutions (IR4)หรือการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลสร้างความพลิกผันทุกสิ่ง (Disruptive Technology) โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรง ธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทันจะหายไป และหลายอาชีพอาจไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานมนุษย์อีกต่อไป เพราะมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI ที่ฉลาดกว่าทำงานได้ต่อเนื่อง และไร้ความรู้สึกเข้ามาแทนที่

คำถามคือ ธุรกิจเอสเอ็มอีควรปรับตัวอย่างไรในยุคที่AI เข้ามาครองโลก ?

‘หนุ่ย’ พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ซีอีโอบริษัท โชว์ โน ลิมมิท จำกัด ผู้ผลิตสื่อออนไลน์ชื่อ แบไต๋ และพิธีกรไอทีกล่าวว่า สิ่งที่ธุรกิจเอสเอ็มอี ต้องปรับตัวคือการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ให้เป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน

หลักการของ AI คือการคิด วิเคราะห์ เก็บข้อมูล สรุปผลตรงตามเป้าหมายและสามารถสั่งการหรือการพยากรณ์ที่แม่นยำได้ดีกว่ามนุษย์เพราะบางขณะ มนุษย์อาจมีความผิดพลาดจากการเหนื่อยล้าเนื่องจากการทำงานเป็นเวลานานจากความกดดัน หรือเกิดสภาวะอารมณ์ต่างๆ ทำให้การตัดสินใจหรือกระทำไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของเป้าหมาย ขณะที่ AI มีการประมวลผลและทำงานแม่นยำ ตอบสนองได้ตรงจุด ตรงตามวัตถุประสงค์ไม่มีความรู้สึก สภาพอารมณ์ และความเหนื่อยล้าที่จะทำให้เกิดข้อผิดพลาด โดยทำงานภายใต้คำสั่งของระบบ IoT หรืออินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง

ตัวอย่าง AI ที่ใกล้ตัวเรามากที่สุด เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียงอัจฉริยะในสมาร์ทโฟนที่สามารถรับคำสั่งและเข้าใจภาษาพูดของคนที่ใช้กันจริงๆ และตอบสนองได้เสมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของผู้ใช้งานอาทิ Siri ในระบบ iOS หรือ Google Assistant ของ Google สิ่งเหล่านี้คือความชาญฉลาดของ AI ที่อยู่ใกล้ตัวเรา

AI กับการทดแทนแรงงานคน

ด้วยความสามารถที่ฉลาดล้ำของ AI เลยมีการนำไปใช้ในงานที่สามารถทดแทนแรงงานคน เช่น

งานด้าน Call Centerแผนกที่ต้องโทรศัพท์ติดต่อลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะในแต่ละวันอาจต้องติดต่อลูกค้าจำนวนมาก เช่น การโทรศัพท์เสนอบริการต่างๆ ซึ่งหากเป็นคนทำงานลักษณะนี้ทั้งวัน ย่อมเกิดความเหนื่อยล้า หรือความเครียด แต่ AI ไม่มีอารมณ์ แต่สำหรับฝ่าย Call Center ที่ต้องรับโทรศัพท์ลูกค้า ไม่แนะนำให้ใช้ AI เพราะเป็นงานที่ต้องสร้างสัมพันธ์กับลูกค้า การให้ความช่วยเหลืออย่างเห็นอกเห็นใจ คนจะสามารถทำได้ดีกว่าและเป็นธรรมชาติ

รวมทั้ง AI ที่ผนวกกับFacial Recognition หรือเทคโนโลยีจดจำใบหน้าซึ่งจะเป็นระบบรักษาความปลอดภัยในอนาคตแทนการสแกนลายนิ้วมือ โดยปัจจุบันกำลังถูกพัฒนาให้เป็นมากกว่าการเข้ารหัสแต่สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของลูกค้า โดยกล้องวงจรปิดที่มีเทคโนโลยีจดจำใบหน้าผนวกกับAI สามารถ อ่านอารมณ์ลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านได้ เช่น การยิ้มแสดงถึงความพึงพอใจ ขมวดคิ้วหมายถึงสงสัยหรืออาจยังไม่ได้รับความพึงพอใจ การอ่านสีหน้าลูกค้าแบบนี้ ปัจจุบันประเทศจีนเป็นผู้นำในการทำซอฟต์แวร์ซึ่งได้นำเทคโนโลยีจดจำใบหน้าเข้ามาตอบรับกับธุรกิจประเภทค้าขาย และอยากรู้ว่าลูกค้ามีความรู้สึกอย่างไรกับสินค้า

เห็นได้ชัดว่า AI มีประโยชน์มากโดยเฉพาะการเก็บข้อมูล ประมวลผล และการทำงานซ้ำๆ ต่อเนื่องได้อย่างแม่นยำ แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการควรทราบคือ ระบบการทำงานอัตโนมัติจะแทนที่แรงงานทักษะต่ำเท่านั้น แต่ไม่สามารถทดแทนคนที่มีทักษะแรงงานสูงได้ เพราะมนุษย์ยังมีความเป็นศาสตร์และศิลป์ในตัว สุดท้ายแล้วศาสตร์อาจจะถูกแทนที่ด้วยระบบการทำงานอัตโนมัติ แต่“ศิลป์” ที่เป็นจุดเด่นของมนุษย์จะไม่มีสิ่งใดแทนที่ได้

“แจ็ค หม่า เคยกล่าวสุนทรพจน์ไว้อย่างน่าสนใจมากว่า ยุคต่อไปเจ้าของธุรกิจต้องแบ่งสัดส่วนระหว่างการจ้างแรงงานมนุษย์และ AI หรือหุ่นยนต์ เพราะหุ่นยนต์เก่งกว่าคนแน่นอนในเรื่องที่ต้องซ้ำๆ เดิมๆ มีความขยันและไม่อ่อนแรง แต่มนุษย์ต้องถูกพัฒนาให้มีทักษะเพิ่มขึ้น เพื่อจะกลับมาสั่งงาน AI ได้”

AI นักการตลาดมือฉมัง

หมดยุคของการทำการตลาดแบบเหวี่ยงแห เพราะยุคนี้ AIสามารถจำแนกกลุ่มเป้าหมายตามความต้องการของธุรกิจ เพราะความสามารถของAI คือการคิด วิเคราะห์ เก็บข้อมูล นำไปสั่งการ และสรุปตรงตามเป้าหมายที่แม่นยำจากข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data)ทำให้นักการตลาดสามารถรับรู้ความต้องการในอนาคตได้ เช่น ลูกค้ามีความสนใจจะซื้อสินค้าแบบไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร รู้สึกต่อสินค้าอย่างไร นักการตลาดสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปทำแคมเปญโฆษณาหรือผลิตคอนเทนต์เพื่อส่งเสริมการขาย ซึ่ง AI เท่านั้นที่จะตอบโจทย์เหล่านี้ได้ เพราะแต่เดิมคือการคาดการณ์ แต่ทุกวันนี้สามารถรู้ได้จากเครื่องมือดิจิทัล เช่น Google Analytics เป็นโปรแกรมที่ไว้ใช้อ่านผลการค้นหาในGoogleของคนทั้งโลกโดยใช้ AI ในการประมวลผล

พัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพกับยุค AI

ยุคที่ AI มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจในด้านการประยุกต์ใช้ เก็บสถิติ วิเคราะห์และการประมวลผล แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจควรมีการพัฒนาในสองด้านที่จำเป็นประกอบด้วย คือการพัฒนาเรื่องความคิดสร้างสรรค์เพราะสมองมนุษย์คิดไปได้ไกลกว่าเทคโนโลยี ในด้านจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ และการพัฒนาเรื่องช่องทางการสื่อสาร คือต้องรู้วิธีการใช้สื่อ ต้องรู้ว่าโซเซียลมีเดียที่มีหลายแพลตฟอร์ม แพลตฟอร์มไหนเหมาะกับคอนเทนต์แบบไหน และการสื่อสารที่ดี สัมฤทธิ์ผลได้ ต้องมีความเป็นศิลปะมากพอ

“ธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จในยุคนี้ นอกจากใช้ศาสตร์แล้วต้องใช้ศิลป์ ต้องมีสัญชาตญาณว่าทำแบบนี้แล้วจะดี ดังนั้นมุมมองที่นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการจะพัฒนาบุคคลากรที่ใช่ ต้องพัฒนาให้บุคลากรมีทั้งสองศาสตร์นี้ ทั้งเรื่องของความคิดสร้างสรรค์และการสื่อสารเพราะจะเป็นหัวใจของการทำธุรกิจ”

AI ใช้อย่างเหมาะสมกับธุรกิจ

สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี อาจไม่มีงบประมาณในการลงทุนด้านเทคโนโลยีมากนัก ดังนั้นจึงต้องมีแผนการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม และข้อดีของยุคที่อินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและเครื่องมือที่เป็นประโยชน์มากมาย ในรูปแบบการให้ใช้ฟรี หรืออาจต้องแลกด้วยค่าบริการบ้าง ซึ่งเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ สามารถลดขั้นตอนการทำงานและลดแรงงานได้มาก แต่ไม่ว่าเทคโนโลยี AI จะสามารถทุ่นแรงได้มากแค่ไหน แต่สิ่งที่เอสเอ็มอีขาดไม่ได้คือทีมงานที่มีประสิทธิภาพ

ดังนั้น การลดจำนวนบุคลากรและแทนที่ด้วยเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เอสเอ็มอียุคใหม่ต้องเรียนรู้และปรับตัว แต่ธุรกิจก็ยังต้องการคนที่มีประสิทธิภาพที่พร้อมสู่เป้าหมายเดียวกันด้วย

“สุดท้ายองค์กรอาจไม่ต้องมาหวังการทำงานแบบพี่น้อง แต่ควรทำงานด้วยเป้าหมายเดียวกันเพื่อให้งานบรรลุผลเวลาจากไป เปลี่ยนงานใหม่ ก็จะได้เคารพกันว่าทำงานอย่างมืออาชีพจริงๆ”

 

อ้างอิง : https://www.youtube.com/watch?time_continue=2&v=JSPcCnJBWjw


You must be logged in to post a comment Login