- อย่าไปอินPosted 20 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
การหย่าของชาวอาหรับก่อนอิสลาม
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 1-8 พฤศจิกายน 2562)
สังคมอาหรับก่อนหน้าอิสลามเป็นสังคมเถื่อน ความปลอดภัยในชีวิตเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ผู้หญิงจะยอมเป็นภรรยาคนที่เท่าไรก็ได้ของผู้ชายคนหนึ่งเพื่อแลกกับความคุ้มครองและการเลี้ยงดู ผู้ชายจึงมีภรรยาหลายคน
แต่เมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว การระหองระแหงกันก็เป็นเรื่องธรรมดาตั้งแต่เรื่องในครัวยันเรื่องในมุ้ง และการขัดใจไม่สนองตอบความต้องการทางอารมณ์ของสามีเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สามีไม่พอใจถึงขั้นหย่าขาดกันไป ในสมัยก่อนหน้าอิสลามการหย่าของชาวอาหรับทำไปโดยการกล่าวถ้อยคำที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ซึ่งทำให้ภรรยาไม่สบายใจว่าตัวเองถูกหย่าแล้วหรือไม่
มีบันทึกกล่าวว่า สาวกคนหนึ่งของนบีมุฮัมมัดมีภรรยารูปร่างหน้าตาดี วันหนึ่งสาวกคนนี้เห็นภรรยากำลังละหมาดอยู่ พอละหมาดเสร็จสาวกคนนี้เกิดมีอารมณ์ปรารถนาในตัวภรรยาขึ้นมา แต่ภรรยาของเขาปฏิเสธ ดังนั้น สาวกคนนี้จึงกล่าวด้วยอารมณ์โมโหว่า “เธอนี่เหมือนกับหลังของแม่ของฉัน”
หลังจากนั้นสาวกผู้นี้รู้สึกผิดที่กล่าวถ้อยคำเช่นนั้นออกมา เพราะการพูดเช่นนั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการหย่าในหมู่ชาวอาหรับก่อนหน้าอิสลาม ดังนั้น เขาจึงบอกภรรยาว่าเธอเป็นที่ต้องห้ามในการมีเพศสัมพันธ์กับเขาแล้ว แต่ภรรยาของเขาได้ตอบว่า “อย่าพูดเช่นนั้นนะ ไปหานบีมุฮัมมัดและถามท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้เสียก่อน”
แต่สาวกรู้สึกอายที่จะถามเรื่องนี้กับท่านนบี นางจึงขอสามีไปถามท่านนบีเองในสิ่งที่สามีของนางได้ทำไป นางถามนบีมุฮัมมัดว่า “มีทางใดบ้างไหมที่จะทำให้เราสองคนกลับมาอยู่กันฉันสามีภรรยาได้อย่างถูกต้องเหมือนเดิม?”
นบีมุฮัมมัดตอบว่า “ถ้าอย่างนี้เธอเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขาแล้ว” นางจึงกล่าวว่า “นบีคะ จริงๆแล้วเขาไม่ได้คิดจะหย่าฉัน เขาเป็นพ่อของลูกๆของฉันและฉันยังคงรักเขา” นบีมุฮัมมัดจึงตอบว่า “ฉันยังไม่ได้รับคำบัญชาจากพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวมา”
หลังจากนั้นนางได้เวียนกลับมาหานบีมุฮัมมัดอีกหลายครั้งเพื่อฟังคำตอบ แต่นบีมุฮัมมัดไม่สามารถให้คำตอบแก่นาง เพราะท่านยังไม่ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าเป็นแนวปฏิบัติในเรื่องนี้
ครั้งหนึ่งนางได้มาร้องไห้ต่อหน้านบีมุฮัมมัดพร้อมกับกล่าวว่า “ฉันร้องทุกข์ต่อพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องความลำบากของฉันมาตลอด โอ้พระเจ้า โปรดคลายความทุกข์ของฉันด้วยการส่งวิธีการแก้ปัญหามายังนบีของพระองค์ด้วยเถิด” แต่เมื่อนางยังไม่ได้รับคำตอบจากท่านนบีนางจึงกลับไป
หลังจากนั้นนางได้กลับมาหาท่านนบีอีกและรบเร้าท่านนบีให้ช่วยแก้ปัญหาของนาง จนกระทั่งภรรยาของนบีมุฮัมมัดได้บอกนางว่า “หยุดรบเร้าเซ้าซี้ได้ไหม เธอไม่เห็นหน้าของท่านนบีหรือ?”
ในตอนนั้นสีหน้าของนบีมุฮัมมัดเริ่มเปลี่ยนไปเพราะท่านกำลังได้รับคำบัญชาจากพระเจ้า หลังจากนั้นสักพักหนึ่งท่านนบีได้หันมาทางหญิงคนนั้นและกล่าวว่า “ไปเรียกสามีของเธอมา”
เมื่อสามีของนางมาถึง ท่านนบีได้อ่านคำบัญชาของพระเจ้าให้เขาฟังและถามว่า “ท่านสามารถไถ่โทษด้วยการปลดปล่อยทาสหนึ่งคนได้ไหม?” เขาตอบว่า “ถ้าทำเช่นนั้นฉันจะไม่มีอะไรเหลือเลย” นบีมุฮัมมัดจึงถามว่า “ท่านสามารถถือศีลอดต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 เดือนได้ไหม?” เขาตอบว่า “ถ้าวันหนึ่งฉันไม่ได้กินอาหาร 3 มื้อ ตาของฉันจะพร่ามัว และถ้านานวันฉันอาจตาบอดได้” ท่านนบีจึงถามว่า “ท่านสามารถเลี้ยงอาหารคนยากจน 60 คนได้ไหม?” เขาตอบว่า “ได้ ถ้าท่านช่วยฉัน”
ท่านนบีได้ตอบเขาว่า “ฉันจะช่วยท่านด้วยการให้ข้าวจำนวนหนึ่ง”
เมื่อสาวกคนนั้นได้รับข้าวจากท่านนบีแล้ว เขาได้นำไปทำอาหารเลี้ยงคนยากจน 60 คน และร่วมกินกับคนเหล่านั้นด้วย เมื่อทำเช่นนั้นแล้วกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับภรรยาก็เป็นที่สิ้นสุด และเขาสามารถกลับมาอยู่กับภรรยาได้เหมือนเดิม
นี่เป็นภูมิหลังของเหตุการณ์ที่ทำให้การหย่าแบบดั้งเดิมของชาวอาหรับก่อนหน้าอิสลามถูกยกเลิก และมีการเปลี่ยนแปลงการหย่าให้เป็นไปตามประสงค์ของพระเจ้าในเวลาต่อมา
You must be logged in to post a comment Login