วันพฤหัสที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

5 เรื่องสำคัญการบริหารเงินให้ธุรกิจ SMEs ไปรอด

On November 11, 2019

กลยุทธ์ที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการทำธุรกิจ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดในการนำพาธุรกิจให้อยู่รอดปลอดภัย กำไรหรือยอดขายที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งชี้วัดว่าธุรกิจจะเติบโต เพราะหากธุรกิจบริหารจัดการเงินไม่เป็น ไม่สามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดได้ ระบบการเงินก็เหมือนถังน้ำที่มีรูรั่ว ทำให้ขาดสภาพคล่องธุรกิจสะดุด ซ้ำร้ายอาจถึงขั้นล้มละลายปิดกิจการไปในที่สุด

‘เงิน’คือปัจจัยสำคัญของคนทำธุรกิจ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีมือใหม่ที่ยังบริหารจัดการเรื่องเงินอย่างหละหลวมย่อมมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง

“มีคนเข้าใจผิดเยอะมากว่ามีเงินหนึ่งก้อนก็สามารถทำธุรกิจได้ แท้จริงแล้ว การมีเงินก้อนหนึ่งทำให้เราเริ่มต้นทำธุรกิจได้ก็จริงแต่ถ้าอยากให้ธุรกิจอยู่รอดและมีกำไร ต้องเข้าใจการบริหารเงิน หากบริหารไม่เป็นก็มีโอกาสเจ๊งสูง”โค้ชหนุ่ม จักรพงษ์ เมษพันธุ์ เจ้าของเพจTHE MONEY COACH และโค้ชการเงินส่วนบุคคล รวมถึงที่ปรึกษาทางการเงินกล่าวพร้อมระบุอีกว่าการบริหารเงินแบบฉบับเอสเอ็มอี ต้องให้ความสำคัญกับ ‘5 เรื่องสำคัญการบริหารเงินให้ธุรกิจไปรอด’ ดังนี้

1.เงินทุนหมุนเวียน ต้องเตรียมเท่าไหร่

เงินทุนหมุนเวียน หรือเงินทุนสำรอง คือความมั่นคงพื้นฐานของธุรกิจ สิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรพิจารณา คือ ต้องเตรียมเงินทุนหมุนเวียนเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ เช่นธุรกิจซื้อมาขายไป ต้องการกระแสเงินสดที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องประเมินสภาพคล่องธุรกิจว่าในหนึ่งเดือนใช้เงินเท่าไหร่ ทั้งค่าใช้จ่ายด้านวัตถุดิบแรงงาน ค่าขั้นตอนปฏิบัติงานต่างๆ ควรเผื่อเงินสำรองไว้ 3 เดือนเพื่อความคล่องตัวของธุรกิจ กรณีธุรกิจมีการให้เครดิตเทอม หรือเครดิตการค้าที่ใช้เวลาในการวางบิลเก็บเงินนาน ในขณะที่ต้องมีการชำระค่าใช้จ่ายเป็นเงินสดธุรกิจลักษณะนี้อาจต้องเตรียมเงินทุนสำรองถึง 6 เดือนเพื่อความอุ่นใจ

สิ่งที่ผู้ประกอบการควรทราบอีกอย่างหนึ่งคือเงินสำรองมีน้อยก็เสี่ยง มีมากเกินไปก็ไม่ดี เพราะอาจเสียโอกาสที่จะนำเงินไปสร้างผลตอบแทนในด้านอื่นๆ ดังนั้นจึงต้องประเมินอย่างเหมาะสม

2.วางแผนบริหารกระแสเงินสด

ในการจัดการเรื่องเงินให้ธุรกิจเอสเอ็มอีไปรอดลำดับต่อมาคือ การวางแผนบริหารจัดการกระแสเงินสด ปัญหาสำคัญคือเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ไม่ทราบว่ารายได้ที่เข้ามานั้นเป็นเงินที่มีภาระอะไรบ้าง เช่น รายจ่ายที่จำเป็น หนี้สินธุรกิจที่ต้องชำระ หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบริษัท ทำให้ไม่ทราบตัวเลขกระแสเงินสดที่ ‘ปลอดภาระอย่างแท้จริง’มีผลทำให้การตัดสินใจใช้เงินค่อนข้างยากและอาจผิดพลาดได้

ฉะนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรทำคือบริหารจัดการกระแสเงินสด จะเข้ามาจากไหน เมื่อไหร่ อย่างไรประมาณการรายจ่ายเท่าไหร่ และเมื่อไหร่บ้าง มีเงินสดเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายหรือไม่ ถ้าไม่พอเตรียมแผนสำรองไว้อย่างไร เพราะหากผิดพลาดหรือล่าช้าเพียงไม่กี่วัน อาจกระทบกับสภาพคล่องของธุรกิจ หรือความเชื่อมั่นของคู่ค้าได้ดังนั้นประมาณการกระแสเงินสดไหลเข้า–ออก ต้องแม่นยำเพื่อสามารถวางแผนบริหารจัดการเงินได้อย่างเป็นระบบ

ขณะเดียวกันการบริหารเครดิตเทอม หรือเทอมการค้าที่ยืดหยุ่นให้กับลูกค้าบางราย หรือลูกค้าใหม่ควรปรับไปตามสถานการณ์โดยพยายามบริหารเงินให้ธุรกิจได้ประโยชน์มากที่สุด อาทิ บางรายให้เครดิต บางรายเก็บเงินสดก็เป็นอีกเทคนิคการจัดการเงินเบื้องต้นสำหรับผู้ประกอบการใหม่ๆ

3.แยกกระเป๋า เงินเรา เงินบริษัท       

เมื่อวางแผนจัดการกระแสเงินสดได้แล้ว ผู้ประกอบการก็จะได้ทราบตัวเลข‘เงินที่ปลอดภาระ’ แต่ปัญหาส่วนใหญ่คือผู้ประกอบการมักใช้เงินปะปนกันระหว่างเงินของตัวเองกับเงินของธุรกิจ เรื่องนี้เจ้าของธุรกิจมักคิดว่ายังไงก็เงินเรา แต่จริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง เพราะหากมองในแง่มุมการทำธุรกิจ การเสียภาษีของบุคคลธรรมดากับนิติบุคคลนั้นใช้คนละฐานภาษีกัน ดังนั้นการใช้จ่ายเงินส่วนตัวกับรายได้จากธุรกิจควรแยกกระเป๋าให้ชัดเจน หากไม่แยกเจ้าของธุรกิจจะไม่ทราบเลยว่าจริงๆ แล้วธุรกิจมีกำไรหรือขาดทุนเพราะช่วงที่ธุรกิจขาดเงินก็ใช้เงินส่วนตัวจ่าย ช่วงที่เก็บเงินได้ก็นำไปใช้ส่วนตัว การใช้เงินปะปนกันไปหมด หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุน ควรนำไปลงทุนในธุรกิจ หรือนำไปปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ควรใช้เงินสดจนขาดสภาพคล่อง

4.วางแผนขอสินเชื่อและการหาหุ้นส่วน

ในช่วงที่ธุรกิจต้องการใช้เงินจำนวนมาก อาทินำไปจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อขยายการผลิตลงทุนเพื่อพัฒนาธุรกิจหรือประมาณการเงินหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นในอนาคตเพื่อไม่ให้เกิดความฉุกละหุก จึงควรวางแผนหาแหล่งเงินสำรอง ไม่ควรรอให้เงินขาดมือแล้วค่อยมองหาช่องทาง

‘สินเชื่อธุรกิจ’ เป็นหนทางในการเข้าถึงแหล่งเงินได้ดีที่สุด เราควรวางแผนขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงทั้งมวล และการขอสินเชื่อแต่ละครั้งควรระบุประเภทของสินเชื่อให้ชัดเจนตามวัตถุประสงค์ของการนำเงินไปใช้

อีกรูปแบบหนึ่งในการเข้าถึงแหล่งเงิน คือการหาหุ้นส่วนมาร่วมลงทุน หรือกิจการร่วมค้า แต่แนะนำว่าให้ผู้ประกอบการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก่อน เพราะการหาหุ้นส่วน มีประเด็นที่ต้องพิจารณามากมาย เปรียบเทียบง่ายๆ ขอสินเชื่อสถาบันการเงิน อาจมีภาระชำระหนี้ 5-10 ปี เป็นภาระสั้นๆ แต่การมีหุ้นส่วนคือการอยู่ร่วมกันระยะยาว  จึงต้องพิจารณาและประเมินให้ดี

5.ให้ความสำคัญกับงบการเงิน

ทุกองค์กรควรกำหนดผู้ทำหน้าที่ติดตามรายการรับ-จ่ายเงินบันทึกข้อมูลทางบัญชีเพื่อจัดทำประมาณการกระแสเงินสด และจัดการเงินทุนหมุนเวียนให้ได้ตัวเลขที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือ ‘งบการเงิน’ที่เป็นหัวใจสำคัญ

ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่ไม่ทราบว่างบการเงินไม่เพียงแต่ใช้ประโยชน์เพื่อนำส่งสรรพากรเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นงบแสดงสถานะทางการเงิน งบกำไรขาดทุน งบกระแสเงินสด ถ้าผู้ประกอบการทำตัวเลขถูกต้อง จะสามารถนำมาใช้บริหารจัดการหรือช่วยตัดสินใจในธุรกิจได้และที่สำคัญกรณีมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่ม และประสงค์ขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินผู้ประกอบการที่ส่งงบการเงินที่ถูกต้องประกอบการขอสินเชื่อย่อมส่งผลดีเพราะเจ้าหน้าที่สินเชื่อจะสามารถประเมินศักยภาพของธุรกิจความจำเป็นต้องใช้เงินเพิ่มได้ง่ายขึ้นซึ่งเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ของงบการเงินที่ผู้ประกอบการมองข้าม

สุดท้าย มีคนเคยกล่าวไว้ว่าธุรกิจโตเพราะการตลาด ขายดีเพราะการจัดการ แต่ส่วนใหญ่ที่เจ๊งบอกได้เลยว่า เป็นเพราะเรื่องการเงิน ดังนั้นธุรกิจที่เฝ้าระวังตลอดเวลามีข้อมูลบริหารจัดการเงินที่ดีและถูกต้อง ธุรกิจเหล่านี้จะเติบโตสร้างกำไร และความมั่งคั่งให้กับกิจการ

อ้างอิง : https://www.youtube.com/watch?v=fgJx_tsypj0


You must be logged in to post a comment Login