วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

ดร.โสภณเสนอกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีกว่า “ชิม ช้อป ใช้”

On November 12, 2019

คอลัมน์ :โลกอสังหาฯ

ผู้เขียน : ดร.โสภณ พรโชคชัย

(โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่  15-22 พฤศจิกายน 2562)

รัฐบาลต้องการให้ประเทศดีขึ้นจริงหรือไม่ รัฐบาลต้องการให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้นจริงหรือไม่ รัฐบาลหวังดีต่อประชาชนจริงหรือไม่ “ชิม ช้อป ใช้” ถือเป็นผลไม้พิษก็ว่าได้ มีอะไรที่ทำได้ดีกว่านี้ไหม ดร.โสภณมีทางออกจริงที่ทำได้ผลเมื่อทำทันที อยู่ที่ว่ารัฐบาลต้องการให้ประชาชนอยู่ดีกินดีจริงหรือไม่

1.การให้สัมปทานรถไฟฟ้าใจกลางเมือง ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ต้องออกเงินก่อสร้างเอง จะทำให้เกิดรายได้สูง เพราะเป็นเส้นทางที่มีความเป็นไปได้ทางการเงิน มีผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าการก่อสร้างออกไปนอกเมือง ทั้งนี้ สามารถดำเนินการได้หลายพื้นที่ในใจกลางเมือง คล้ายการให้สัมปทานรถประจำทาง เป็นต้น การทำรถไฟฟ้าในราคาที่ไม่สูงจนเกินไปจะทำให้เอกชนสามารถเข้าร่วมประมูลได้มากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันเสรี ไม่ต้องถูกผูกขาดโดยรายใหญ่ และรัฐบาลแทบไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินใดๆ เพียงแต่ควบคุมและตรวจสอบการจัดทำสัญญาที่ไม่เสียเปรียบภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลทำก็คือทำไม่กี่สาย ทำในเส้นทางที่ไม่เหมาะสม ค่าโดยสารแพง และทำให้เกิดการผูกขาดโดยบริษัทบางแห่ง ซึ่งทำให้มาตรการนี้ไม่ได้ผล

2.การอนุญาตให้ก่อสร้างอย่างหนาแน่นสูง (High Density) แต่ไม่แออัด (Overcrowdedness) โดยกำหนดผังเมืองใหม่ให้การก่อสร้างในเขตใจกลางเมืองสามารถสร้างสูงได้ถึงประมาณ 15-20 เท่าของขนาดแปลงที่ดิน (Floor Area Ratio : FAR) โดยให้เว้นพื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่สีเขียว ส่งเสริมการก่อสร้างอาคารอัจฉริยะ อาคารเขียว เพื่อไม่ก่อมลภาวะ การอนุญาตให้สร้างได้มากกว่าผังเมืองปัจจุบันจะทำให้เกิดการก่อสร้างในใจกลางเมืองอีกมหาศาล (http://goo.gl/aBukys) โดยสมมุติให้พื้นที่พาณิชยกรรมเพิ่มขึ้น 2 ล้านตารางเมตร แบ่งเป็นพื้นที่ที่ขายได้ประมาณ 70% หรือ 1.4 ล้านตารางเมตร และสมมุติให้ราคาตารางเมตรละ 60,000 บาท ก็เป็นเงิน 84,000 ล้านบาทที่เพิ่มขึ้น หากส่วนที่เพิ่มจากกฎหมายเดิมเก็บภาษี 10% ก็จะได้ภาษีนำมาพัฒนาท้องถิ่นเพิ่มเติมอีก 8,400 ล้านบาท

การอยู่อาศัยในใจกลางเมืองยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการขยายไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ระบบคมนาคมและขนส่งมวลชน ออกไปชานเมืองอย่างไม่สิ้นสุดได้อีก เท่ากับประหยัดงบประมาณแผ่นดินไว้พัฒนาทางด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป ยิ่งกว่านั้นเมืองก็ไม่ขยายตัวอย่างไร้ขอบเขต คุณภาพชีวิตของประชาชนก็จะดีขึ้น แทนที่จะเสียเงิน เสียเวลาเดินทางไกลบนท้องถนน และเป็นการลดมลภาวะอีกด้วย

3.การนำที่ดินของรัฐใจกลางเมืองมาพัฒนาเชิงพาณิชย์ ไม่ใช่เอามาสร้าง “บ้านคนจน” ที่ดินของรัฐใจกลางเมืองสามารถนำมาพัฒนาเชิงพาณิชย์เพื่อหารายได้ได้อย่างยั่งยืน เช่น นำมาใช้ก่อสร้างเป็นศูนย์ธุรกิจใจกลางเมือง (Central Business District : CBD) แห่งใหม่ซ้อนอยู่ใน CBD เดิม โดยให้มีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่รวมกันในที่เดียว ทำให้เกิดพลังเกื้อหนุนกัน คล้ายบริเวณสีลม-สุรวงศ์-สาทร ซึ่งทำให้การดำเนินธุรกิจมีประสิทธิภาพ ไม่เสียเวลาเดินทาง ราคาค่าเช่าก็จะไม่ตกต่ำเช่นอาคารที่ตั้งอยู่โดดๆ เช่น

3.1 ที่ดินกรมทหาร เขตดุสิต ซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางหลายพันไร่

3.2 พื้นที่กรมทหาร ถ.โยธี เขตพญาไท ซึ่งมีขนาดใหญ่และมีทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าผ่าน

3.3 สนามม้าในกรุงเทพมหานคร

3.4 โรงซ่อมรถไฟ บึงมักกะสัน ซึ่งมีทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้าผ่านเช่นกัน

3.5 โรงงานยาสูบเดิม ถ.พระรามที่ 4 ซึ่งมีรถไฟฟ้าและทางด่วนผ่านบริเวณใกล้เคียง

3.6 ที่ดินคลังน้ำมัน ถ.พระราม 3 ติดแม่น้ำเจ้าพระยา

3.7 ที่ดินการรถไฟฯ ถ.เชื้อเพลิง ติดแม่น้ำเจ้าพระยา

3.8 ท่าเรือคลองเตยและที่ดินการท่าเรือแห่งประเทศไทยที่ตลาดคลองเตยและโดยรอบ เป็นต้น

ที่ดินเหล่านี้หากสามารถนำมาพัฒนาได้จริงจะทำให้เกิดมูลค่าการพัฒนาไม่ต่ำกว่า 4 ล้านล้านบาท หรือมากกว่างบประมาณแผ่นดินไทย ที่ผ่านมาประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ย้ายส่วนราชการออกนอกเมืองเป็นจำนวนมาก ทั้งในกรุงมะนิลา และนครโฮจิมินห์ซิตี เป็นต้น

4.การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในประเทศตะวันตกจัดเก็บประมาณ 1-2% ของมูลค่าทรัพย์สินตามราคาตลาด แต่ในกรณีประเทศไทยอาจเริ่มต้นที่ 0.5% สำหรับอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท จะได้ไม่เกิดความลักลั่น ยกเว้นที่ดินเปล่า ซึ่งควรเร่งรัดให้พัฒนาเพื่อเพิ่มอุปทานที่ดิน ราคาที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์จึงจะไม่แพงจนเกินไป โดยควรให้จัดเก็บประมาณ 1-2% ทั้งนี้ ควรให้ท้องถิ่นเป็นผู้ประเมินภาษีกันเอง และจำกัดวงเงินการพัฒนาสาธารณูปโภคท้องถิ่นตามภาษีที่จัดเก็บได้ เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดเก็บได้มากขึ้น และควรกำหนดให้ยกเลิกภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ภาษีค่าโอน ที่สูงถึงประมาณ 3% ของราคาขาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลทำก็คือการเก็บภาษีที่ไม่สอดคล้องกับหลักสากล ให้เสียภาษีเฉพาะบ้านที่มีราคาเกิน 50 ล้านบาท ภาษีที่จะเก็บได้ในอนาคตอาจน้อยกว่าเดิมและทำให้นายทุนกลับเสียภาษีน้อยลงกว่าแต่ก่อน รัฐบาลควรจัดเก็บภาษีที่ 0.1% ของราคาทรัพย์สินโดยทั่วหน้ากัน

5.การจัดเก็บภาษีมรดก ในปัจจุบันจัดเก็บภาษีมรดกเฉพาะทรัพย์สินที่มีราคาเกิน 100 ล้านบาท และค่อยๆทยอยโอนให้ลูกหลานในอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์อย่างละไม่เกิน 20 ล้านบาทในแต่ละปีได้ ทำให้มาตรการนี้ไม่ได้นำมาใช้จริง นอกจากนี้ยังมีการลดหย่อนอีกมากมาย รัฐบาลจึงควรกำหนดให้เก็บภาษีมรดกโดยไม่มีข้อยกเว้น และให้เก็บที่อัตรา 10% ของกองมรดกในทุกระดับราคา จะทำให้มีเงินมาพัฒนาประเทศอีกมาก ผู้ที่บอกว่าตนเองเป็นผู้รักชาติก็ควรเสียภาษีเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ

6.การสร้างนิคมอุตสาหกรรมและกาสิโนในบริเวณริมชายแดน โดยจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมและแหล่งพักพิงของแรงงานเพื่อที่แรงงานจะได้ไม่ต้องเดินทางเข้าสู่กรุงเทพมหานครหรือในพื้นที่ที่ลึกเข้ามาจากชายแดน โดยให้วิสาหกิจเสียค่าใช้จ่ายในด้านสาธารณูปโภคเป็นหลัก และในพื้นที่กันดารในชนบทก็อาจพิจารณาสร้างเมืองใหม่โดยมีกาสิโนเป็นตัวนำ เช่นที่ดำเนินการในสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยจะเห็นได้ว่าในประเทศที่มีกาสิโนไม่ได้มีสถิติการเกิดอาชญากรรมมากกว่าประเทศที่ไม่มีกาสิโนแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังสามารถจัดเก็บภาษีจากการประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ต้องติดสินบนอันเป็นบ่อเกิดการทุจริตในวงราชการอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมุ่งแต่จะพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี จนขณะนี้พับการพัฒนาริมชายแดนไปแล้ว ในขณะเดียวกันเขตอีอีซีกลับกลายเป็นการขายชาติไปในที่สุด (https://bit.ly/2UWql3m)

7.การมี “หวยบนดิน” ทำให้มีรายได้เพิ่ม เช่น ปีงบประมาณ 2547 มีรายได้รวม 76,429 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อน 108% ปี 2548 รายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 82,718 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2549 มีรายได้รวม 92,764 ล้านบาท (https://goo.gl/VRNDSc) ยิ่งกว่านั้นหวยบนดินยังทำให้ประชากรมีงานทำ “แน่นอนว่าการยกเลิกหวยบนดินให้หมดไปเลยทีเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ยาก เพราะจะทำให้คนขายหวยบนดินและคนเดินโพยกว่า 400,000 คนต้องตกงานและขาดรายได้ อีกทั้งยังทำให้หวยใต้ดินกลับมาแพร่หลายอีกด้วย!!” (https://goo.gl/RG8jdp) จะเห็นได้ว่าการมีคนทำงานเพิ่มขึ้นถึง 400,000 คนนี้ จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่าการแจกเงินของรัฐบาลที่ทำอยู่ทุกวันนี้ (https://goo.gl/8nWcxE)

8.การลดดอกเบี้ยเงินกู้แค่ 1% ทำให้อัตราเงินผ่อนต่อปีลดลงถึงเกือบ 9% การผ่อนเบาภาระแก่ประชาชนนี้จะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ยิ่งถ้าลดได้ 2% ก็จะทำให้อัตราเงินผ่อนลดลงถึง 18% เลยทีเดียว การลดดอกเบี้ยเงินกู้นี้จะทำให้สถาบันการเงินได้ลูกค้าและค่าธรรมเนียมจากการขอกู้มากขึ้น เลือกลูกค้าได้มากขึ้น ระบบสถาบันการเงินแข็งแกร่งขึ้น การเอาใจประชาชนเช่นนี้จะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในรัฐบาลมากขึ้น ประชาชนและเศรษฐกิจชาติจะได้รับการกระตุ้นจริง (https://bit.ly/2dm96oL)

9.ลดราคาน้ำมันลงจากโครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบัน 8 พฤศจิกายน 2562 (https://bit.ly/2NQb9m2) หากรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจก็สามารถลดราคาลงมา 5 บาท โดยลดลงจากราคาขายตามปกติ หากสามารถลดราคาลงได้เป็นเวลา 1 ปี ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้มหาศาลในระยะเวลาอันสั้น

10.หยุดแจกเงิน เพราะเงินที่แจกก็คือภาษีของทุกคนนั่นเอง การแจกเงิน 300 บาทต่อเดือนนั้น หากถือเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แสดงว่าคนคนหนึ่งมีรายได้ประมาณ 4,286 บาท สำหรับประชาชนทั่วไปที่บริโภคสินค้าเป็นรายสุดท้าย แต่ละคนคงเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมากกว่า 300 บาทต่อคนอยู่แล้ว การแจกนี้จึงเป็นการนำเงินของประชาชนมาจ่ายเท่านั้น ที่สำคัญยังไม่สามารถใช้เงินนี้ไปซื้อสินค้าและบริการจากประชาชนกันเองได้ด้วย นับเป็นความอัปยศเป็นอย่างยิ่ง

มาตรการเหล่านี้จะทำให้ประเทศไทยมีฐานะทางเศรษฐกิจดีขึ้น ประชาชนมีความกินดีอยู่ดีมากขึ้น แต่ถ้าประชาชนรวยขึ้น มีอิสรภาพทางการเงินมากขึ้น อาจมีอิสรภาพทางความคิดมากขึ้น แล้วต้องการศักดิ์ศรีของตนเองมากขึ้น ต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง รัฐบาลจะยอมหรือไม่


You must be logged in to post a comment Login