- อย่าไปอินPosted 20 hours ago
- ปีดับคนดังPosted 2 days ago
- เรื่องยังไม่จบPosted 3 days ago
- ต้องช่วยผู้หญิงขึ้นจากขุมนรกPosted 4 days ago
- คนดีสยบทุกอย่างได้Posted 5 days ago
- จัดการได้ก็ทำเถอะPosted 1 week ago
- ชวนทำบุญครั้งสุดท้ายPosted 1 week ago
- อย่าไปซ้ำเติมPosted 1 week ago
- คงมีโอกาสดีได้นะPosted 2 weeks ago
- ช่วยสร้างบรรยากาศชื่นมื่นPosted 2 weeks ago
บทเรียนจากถ้ำ
คอลัมน์ : สันติธรรม
ผู้เขียน : บรรจง บินกาซัน
โลกวันนี้วันสุข ประจำวันที่ 15-22 พฤศจิกายน 2562)
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้เดินทางไปจังหวัดสตูลและมีโอกาสเข้าไปเที่ยวในถ้ำภูผาเพชร ซึ่งเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อนถึงปากถ้ำเราต้องขึ้นบันไดไป 300 กว่าขั้น ปากถ้ำเป็นโพรงขนาดเล็กที่ต้องก้มตัวจนแทบจะคลานเพื่อมุดเข้าไปข้างใน
แต่เมื่อลอดปากถ้ำเข้าไป เราพบว่าภายในถ้ำเป็นอีกโลกหนึ่งที่แฝงอยู่บนโลกนี้โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นถ้าไม่เข้าไปข้างใน ใครจะเชื่อว่าถ้ำแห่งนี้มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ เพดานถ้ำสูงจากพื้นถ้ำ 52 เมตร ภายในถ้ำไม่มีต้นไม้เหมือนภายนอก มีแต่หินงอกหินย้อยรูปทรงต่างๆมากมาย หินงอกบางแห่งมีลักษณะเป็นแท่งที่เกิดจากน้ำหยดจากเพดาน บางแห่งเป็นเหมือนปะการัง หินย้อยบางแห่งมีลักษณะคล้ายแมงกะพรุน หินเหล่านี้งอกปีละ 2 มิลลิเมตร
ถ้ำแห่งนี้มิใช่ผลงานของมนุษย์ และมนุษย์ไม่สามารถทำขึ้นได้ แต่มันเกิดขึ้นจากพลังสร้างสรรค์ของอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์มองไม่เห็น และเป็นพลังอำนาจที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา คนสมัยใหม่อาจเรียกพลังอำนาจนี้ว่า “ธรรมชาติ” ที่มีคำนิยามหลากหลาย แต่คนมีศาสนาเรียกพลังอำนาจนี้ว่า “พระเจ้า” ผู้ทรงสร้าง
เราเดินลัดเลาะขึ้นลงไปตามเส้นทางที่กรมป่าไม้ทำไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเข้าไปชม ยิ่งเดินลึกลงไปไกลเท่าไร เรายิ่งได้เห็นความสวยงามอลังการที่ไม่มีอยู่ภายนอกถ้ำมากขึ้นเท่านั้น
ไฮไลท์ของการเข้าถ้ำของผมครั้งนี้อยู่ตรงที่เมื่อเราเดินมาถึงห้องสุดปลายทางของถ้ำ ลุงนิล ไกด์วัยเกินหกสิบ ได้บอกให้เราทุกคนดับไฟที่ใช้ส่องทาง พอดับไฟห้องนั้นก็มืดสนิทจนเราเหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นแม้แต่มือของตัวเอง ลุงนิลอธิบายให้เราฟังว่าสภาพของเราตอนนี้ก็เหมือนกับทีมหมูป่าที่ไปติดอยู่ในถ้ำนางนอน
หลังจากนั้นลุงนิลได้พูดให้เราฟังว่า เมื่อเราอยู่ท่ามกลางความมืดสนิทในที่ตรงนี้เรารู้สึกหวาดกลัว แต่ตอนนี้เรายังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมกับเรา ความกลัวยังผ่อนคลายไปบ้าง แต่ถ้าเรานอนอยู่ในหลุมฝังศพที่แผ่นดินกลบหน้าเรามันจะน่ากลัวขนาดไหน เพราะในตอนนั้นเราไม่มีเพื่อน
ลุงนิลเป็นพุทธศาสนิก แต่เพราะลุงนิลอยู่ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีทั้งชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม ลุงนิลจึงพอมีความรู้ในเรื่องอิสลามบ้าง ลุงนิลให้คติเตือนใจในช่วงที่มืดสนิทว่า ตอนนี้เรายังไม่ได้นอนในหลุมฝังศพ เรายังมีเวลาพอที่จะทำความดีก่อนที่จะอยู่ในหลุมฝังศพอันมืดสนิท ให้คติธรรมเสร็จลุงนิลก็สั่งให้เราเปิดไฟ ความสว่างจากแสงไฟทำให้เรามีความรู้สึกดีขึ้นมาทันที เพราะมันทำให้เราเห็นทางที่จะออกไปจากถ้ำ
ตอนนั้นผมคิดเลยไปว่า หากเราอยู่ในหลุมฝังศพที่มืดมิดมาเป็นเวลานาน และเมื่อวันพิพากษามาถึงภาพแห่งความสุขสบายจะปรากฏให้คนดีมีคุณธรรมได้เห็น แต่สำหรับคนที่ทำบาปกรรมหรือทำชั่วไว้ ภาพการลงโทษอันสยดสยองจะมีความน่าหวาดกลัวมากกว่าที่อยู่ในความมืดสนิทเป็นพันเท่า
ท่องเที่ยวในถ้ำครั้งนี้ทำให้เกิดแง่คิดตอนเดินออกจากถ้ำอีกว่า เมื่อเราอยู่ในครรภ์แม่ ชีวิตของเราก็อยู่ในความมืดเป็นการชั่วคราว เราออกจากครรภ์แม่มาสู่ถ้ำอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยสวยงามอลังการโดยมีเวลามากกว่าอยู่ในความมืด แต่พอเรามุดออกมาจากถ้ำ ได้พบกับโลกกว้างที่สว่างไสว มีต้นไม้หลากหลายชนิดขึ้นเขียวชอุ่ม มีน้ำฝนชุ่มฉ่ำซึ่งในถ้ำไม่มี แน่นอนใครที่อยู่ในถ้ำหากออกมานอกถ้ำคงจะได้เห็นภาพที่ไม่ต่างไปจากสวรรค์
You must be logged in to post a comment Login